
สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง เช่น โรงงานพลาสติก, ยาง, ไม้, หรือกระดาษ ประโยคที่ว่า “โรงงานของเราไม่เคยเกิดเหตุเลย” ไม่ใช่แค่การบอกเล่าความจริงในอดีต แต่เป็นภาพสะท้อนของ “จิตวิทยาของความประมาท” ที่สามารถนำพาธุรกิจไปสู่ความเสียหายรุนแรงได้
การยึดติดกับความคิดที่ว่า “ถ้ามันยังไม่เคยเกิดขึ้น มันก็จะไม่เกิดขึ้น” เป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง ความสำเร็จในอดีตไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันอนาคต การดำเนินธุรกิจด้วยความประมาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง ถือเป็นการเปิดรับความเสี่ยงเข้าสู่ธุรกิจโดยไม่รู้ตัว
เหตุใดจิตวิทยาความประมาทจึงเป็นภัยต่อธุรกิจ
ความเชื่อที่ว่า “โรงงานของเราไม่เคยเกิดเหตุ” หยั่งรากลึกมาจากอคติทางจิตวิทยาที่เรียกว่า “Normalcy Bias” และ “Optimism Bias” ซึ่งทำให้มนุษย์มักเชื่อว่าสถานการณ์ปกติจะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ และมักจะมองโลกในแง่ดีเกินจริงเกี่ยวกับความสามารถในการหลีกเลี่ยงภัยพิบัติ สิ่งนี้อันตรายอย่างยิ่งเมื่อนำมาใช้กับการบริหารความเสี่ยงของโรงงานที่มีเครื่องจักรทำงานตลอดเวลาและมีวัตถุที่ติดไฟได้ง่าย
เมื่อเกิดความเคยชินกับการไม่เกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ จะทำให้เริ่มละเลยการทบทวนมาตรการความปลอดภัย, การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน, และการประเมินความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย เช่น การปรับปรุงกระบวนการผลิต หรือการติดตั้งเครื่องจักรใหม่ ก็สามารถสร้างความเสี่ยงใหม่ๆ ที่คาดไม่ถึงได้
นอกจากนี้ การที่ “ไม่เคยเกิดเหตุ” อาจหมายถึงความโชคดี ไม่ได้หมายความว่ามีการจัดการความเสี่ยงได้อย่างสมบูรณ์แบบ และไม่ได้บ่งบอกว่าระบบป้องกันที่มีอยู่แข็งแกร่งพอที่จะรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันได้จริง
บทเรียนจากโรงงานที่ “ไม่เคยเกิดเหตุ”
โรงงานแปรรูปไม้ขนาดกลางแห่งหนึ่งดำเนินกิจการมาเกือบ 30 ปี โดยมีความภาคภูมิใจเสมอว่าไม่เคยมีอุบัติเหตุใหญ่เกิดขึ้นเลย จึงได้ทำประกันอัคคีภัยขั้นพื้นฐานไว้ แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการขยายความคุ้มครองอื่นๆ เช่น ความเสียหายต่อเครื่องจักร หรือการหยุดชะงักทางธุรกิจมากนัก เพราะเชื่อว่า “มันไม่เคยเกิดขึ้น”
แต่แล้ววันหนึ่ง เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น พนักงานซ่อมบำรุงเกิดความประมาทเล็กน้อยในการเชื่อมชิ้นส่วนเครื่องจักร ทำให้เกิดประกายไฟไปสัมผัสกับกองฝุ่นไม้ที่สะสมอยู่ตามซอกมุมของเครื่องจักร ซึ่งเกิดจากการทำความสะอาดที่ไม่ทั่วถึง ไฟลามอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่ระบบดับเพลิงอัตโนมัติจะควบคุมได้ทัน ผลคือ โรงงานทั้งหลังถูกไฟไหม้เสียหายเกือบทั้งหมด
สิ่งที่ตามมาคือความเสียหายที่ซับซ้อนกว่าแค่ตัวอาคารและเครื่องจักร ลูกค้าต้องย้ายไปหาคู่แข่ง, พนักงานต้องตกงาน, และความสัมพันธ์กับคู่ค้าเสียหายหนัก ประกันพื้นฐานที่ทำไว้ครอบคลุมเพียงความเสียหายบางส่วนของทรัพย์สิน แต่ไม่ได้ครอบคลุมความสูญเสียทางธุรกิจที่เกิดขึ้นระหว่างการหยุดชะงัก โรงงานแห่งนี้ต้องใช้เวลากว่า 2 ปีในการฟื้นตัว และไม่สามารถกลับมามีส่วนแบ่งการตลาดเท่าเดิมได้เลย
แนวทางสู่การป้องกัน: มองไปข้างหน้า ไม่ใช่แค่มองย้อนหลัง
การบริหารความเสี่ยงที่ดีไม่ใช่การอาศัยโชคหรือประสบการณ์ในอดีต แต่เป็นการมองไปข้างหน้า, ประเมินความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์, วางแผนป้องกัน, และเตรียมพร้อมรับมือหากมันเกิดขึ้นจริง การมีทัศนคติที่ว่า “อาจจะเกิดเหตุการณ์ขึ้นในวันพรุ่งนี้” จะช่วยให้ไม่ประมาทและมองเห็นช่องโหว่ที่จำเป็นต้องอุด
การพิจารณาประกันภัยที่ครอบคลุมความเสี่ยงรอบด้าน ไม่ใช่เพียงแค่การซื้อใบรับรองความปลอดภัย แต่เป็นการลงทุนในความต่อเนื่องทางธุรกิจและอนาคตที่มั่นคง ประกันอัคคีภัย, ประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอก, ประกันภัยเครื่องจักรชำรุดเสียหาย, และที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ประกันภัยการหยุดชะงักทางธุรกิจ ล้วนเป็นเสาหลักที่จะช่วยพยุงธุรกิจไว้เมื่อเกิดเหตุการณ์รุนแรง
โดยสรุป การที่โรงงาน “ไม่เคยเกิดเหตุ” มาก่อน ไม่ใช่เหตุผลให้ละเลยการบริหารความเสี่ยง ตรงกันข้าม มันควรเป็นแรงกระตุ้นให้ประเมินและยกระดับมาตรการป้องกันให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น เพื่อรักษาสถิตินั้นไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยการวางแผนเชิงรุกและทำประกันภัยที่ครอบคลุม จะสามารถเปลี่ยน “ความโชคดี” ให้เป็น “ความพร้อม” และสร้างความแข็งแกร่งที่แท้จริงให้กับธุรกิจในระยะยาว
สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารที่ต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงและการประกันภัยที่เหมาะสมกับธุรกิจโดยเฉพาะ สามารถติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง เพียงเพิ่มเพื่อนทาง LINE: @siamadvicefirm