การบริหารจัดการความเสี่ยงจากผู้รับเหมาในโรงงานอุตสาหกรรม

สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง ประเด็นสำคัญประการหนึ่งที่มักถูกมองข้ามคือ “ความเสี่ยงที่ซ่อนเร้นมาพร้อมกับผู้รับเหมา” ความเข้าใจที่ว่าเมื่อไม่ใช่พนักงานของตน ก็ไม่น่าจะใช่ความรับผิดชอบหลักนั้น เป็นความเข้าใจผิดที่อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงและมีค่าใช้จ่ายมหาศาลตามมา การบริหารจัดการความปลอดภัยและความเสี่ยงของผู้รับเหมา คือหนึ่งในเสาหลักของการดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมที่มั่นคง ซึ่งสำคัญไม่แพ้การดูแลพนักงานในสังกัด

เหตุผลสำคัญประการแรกคือ ความรับผิดชอบทางกฎหมายและผลกระทบทางการเงิน เมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือความเสียหายใดๆ ขึ้นในพื้นที่โรงงาน ไม่ว่าจะเป็นผลงานของพนักงานหรือผู้รับเหมา สุดท้ายแล้วผู้ที่ต้องแบกรับภาระความรับผิดชอบสูงสุดมักจะเป็น “เจ้าของพื้นที่” หรือ “ผู้ว่าจ้าง” ในหลายกรณี กฎหมายถือว่าผู้ว่าจ้างคือ “นายจ้างร่วม” หรือ “ผู้รับผิดชอบสุดท้าย” โดยเฉพาะเมื่ออุบัติเหตุนั้นเกี่ยวเนื่องกับการดำเนินงานในพื้นที่ ความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่แค่ค่ารักษาพยาบาลหรือค่าชดเชยแก่ผู้บาดเจ็บเท่านั้น แต่อาจลามไปถึงความเสียหายต่อทรัพย์สิน, การหยุดชะงักของสายการผลิต, ค่าปรับจากหน่วยงานราชการ, และที่ร้ายแรงที่สุดคือความเสียหายต่อชื่อเสียงองค์กร

ประการที่สองคือ ความเสี่ยงด้านการปฏิบัติงานที่สูงขึ้น ผู้รับเหมาอาจขาดความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม, กฎระเบียบ, และจุดอันตรายเฉพาะภายในโรงงานอย่างละเอียดเท่าพนักงานประจำ การสื่อสารที่ไม่ชัดเจน, การละเลยขั้นตอนความปลอดภัย, หรือการไม่เข้าใจถึงข้อจำกัดของเครื่องจักรและวัสดุเฉพาะทาง ล้วนเป็นปัจจัยที่เพิ่มโอกาสเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ ไม่ว่าจะเป็นเพลิงไหม้, การระเบิด, หรือการปนเปื้อนสารเคมี ซึ่งผลกระทบย่อมตกอยู่กับโรงงานโดยตรง

ประการสุดท้ายคือ ช่องว่างด้านความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัย หลายครั้งที่ผู้ประกอบการเชื่อว่าประกันภัยโรงงานที่มีอยู่ครอบคลุมทุกอย่างแล้ว แต่แท้จริงแล้วกรมธรรม์มาตรฐานบางฉบับอาจมีข้อจำกัดหรือข้อยกเว้นเกี่ยวกับความเสียหายที่เกิดจากบุคคลภายนอก หรืออาจกำหนดให้ผู้รับเหมาต้องมีประกันภัยของตนเอง แต่เมื่อเกิดเหตุขึ้นจริง การตรวจสอบพบว่าผู้รับเหมามีวงเงินประกันภัยไม่เพียงพอหรือไม่ครอบคลุมความเสียหายนั้นๆ ภาระทั้งหมดจึงต้องกลับมาตกอยู่กับผู้ว่าจ้าง

กรณีศึกษา: บทเรียนจากงานของผู้รับเหมา

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน สามารถพิจารณาจากกรณีของโรงงานผลิตชิ้นส่วนพลาสติกแห่งหนึ่ง ที่ได้ว่าจ้างผู้รับเหมารายหนึ่งเข้ามาเชื่อมต่อท่อระบายความร้อน ปกติแล้วโรงงานแห่งนี้มีมาตรการ “Hot Work Permit” หรือใบอนุญาตทำงานที่มีประกายไฟที่เข้มงวด แต่ด้วยความเร่งรีบและผู้รับเหมาที่อาจจะยังไม่คุ้นชิน ได้ทำการเชื่อมในบริเวณใกล้เคียงกับกองวัสดุเหลือใช้ที่เป็นพลาสติก โดยไม่ได้มีการจัดเตรียมพื้นที่ให้ปลอดจากเชื้อเพลิงอย่างเพียงพอ ประกายไฟเพียงเล็กน้อยที่กระเด็นไปตกใส่พลาสติก ทำให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในกรณีนี้ แม้ความผิดจะอยู่ที่การกระทำของผู้รับเหมา แต่เมื่อเรื่องเข้าสู่กระบวนการสอบสวนและเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ทางโรงงานเองก็ต้องรับผิดชอบในฐานะเจ้าของสถานที่และผู้ว่าจ้าง ค่าใช้จ่ายที่ตามมามีตั้งแต่ค่าซ่อมแซมความเสียหาย, ค่าเครื่องจักรที่ต้องเปลี่ยนใหม่, รายได้ที่หายไปจากการหยุดผลิต, ไปจนถึงค่าปรับจากหน่วยงานราชการ และที่สำคัญที่สุดคือความเชื่อมั่นของลูกค้าที่ลดลง ผู้รับเหมาอาจมีประกันภัยของตนเอง แต่บ่อยครั้งที่วงเงินไม่เพียงพอต่อความเสียหายมหาศาลที่เกิดขึ้น

จากประสบการณ์ทั้งหมด การจัดการความเสี่ยงที่มากับผู้รับเหมาจึงไม่ใช่เรื่องรอง แต่เป็นแกนหลักของการดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรม การมองภาพรวมความเสี่ยงให้ทะลุปรุโปร่ง และการสร้างระบบป้องกันที่แข็งแกร่ง ทั้งในด้านการคัดเลือกผู้รับเหมา, การฝึกอบรม, การควบคุมดูแลหน้างาน, และที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การมีแผนประกันภัยที่ครอบคลุมและรัดกุม จะช่วยปกป้องธุรกิจจากความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ การลงทุนในการบริหารจัดการความเสี่ยงนี้ไม่ใช่แค่ค่าใช้จ่าย แต่เป็นการลงทุนเพื่อความต่อเนื่องและความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว

สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารที่ต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงและการประกันภัยที่เหมาะสมกับธุรกิจโดยเฉพาะ สามารถติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง เพียงเพิ่มเพื่อนทาง LINE: @siamadvicefirm

Leave a Comment