
สำหรับผู้ประกอบการโรงงานในกลุ่มอุตสาหกรรมความเสี่ยงสูง เช่น โรงงานผลิตพลาสติก ยาง ไม้ หรือกระดาษ คำถามสำคัญประการหนึ่งคือแนวทางการลดเบี้ยประกันภัยอย่างยั่งยืน หนึ่งในกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการลงทุนในโครงสร้างอาคารเพื่อแบ่งแยกโซนความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างกำแพงกันไฟ (Fire Wall) ที่ได้มาตรฐาน ซึ่งเป็นแนวทางที่ให้ผลลัพธ์ที่จับต้องได้และยั่งยืน
หลักการสำคัญของแนวทางนี้อยู่ที่การลดระดับความเสี่ยงที่แท้จริง โดยเฉพาะการลดขนาดความเสียหายสูงสุดที่อาจเกิดขึ้นได้ (Maximum Probable Loss – MPL) ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ผู้รับประกันภัยใช้ในการคำนวณเบี้ยประกัน สำหรับโรงงานที่เกี่ยวข้องกับวัสดุไวไฟสูงอย่างไม้ หากไม่มีการแบ่งโซนความเสี่ยง MPL จะมีค่าสูงมาก เนื่องจากไฟสามารถลุกลามสร้างความเสียหายได้ทั้งโรงงาน นี่คือที่มาของเบี้ยประกันที่สูง เพราะสะท้อนถึงมูลค่าความเสียหายสูงสุดที่บริษัทประกันภัยอาจต้องชดเชย การแสดงให้เห็นว่าโรงงานสามารถลด MPL ลงได้อย่างมีนัยสำคัญ จะส่งผลให้เบี้ยประกันลดลงตามไปโดยธรรมชาติ
ในกรณีของโรงงานไม้ขนาดใหญ่ที่ทุกส่วนเชื่อมต่อกันเป็นพื้นที่เดียว ทั้งส่วนเก็บวัตถุดิบ ส่วนการผลิต และส่วนจัดเก็บสินค้าสำเร็จรูป หากเกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่จุดใดจุดหนึ่ง โอกาสที่ไฟจะลุกลามไปทั่วทั้งอาคารจนกลายเป็นความเสียหายโดยสิ้นเชิง (Total Loss) นั้นมีสูงมาก สารไวไฟในอากาศ เช่น ฝุ่นไม้ ยิ่งเร่งให้ไฟขยายวงอย่างรวดเร็ว นี่คือสิ่งที่ผู้รับประกันภัยประเมินเป็นความเสี่ยงมหาศาล และเบี้ยประกันก็จะสะท้อนความเสี่ยงระดับนี้
แต่หากโรงงานมีการลงทุนสร้างกำแพงกันไฟที่มีมาตรฐาน โดยแบ่งแยกพื้นที่เสี่ยงออกเป็นโซนต่างๆ อย่างชัดเจน เช่น แยกอาคารเก็บวัตถุดิบออกจากอาคารผลิต หรือแบ่งโซนการผลิตที่มีเครื่องจักรความร้อนสูงออกจากโซนที่มีฝุ่นไม้จำนวนมาก ด้วยกำแพงที่ทนไฟได้นาน 2-4 ชั่วโมงพร้อมประตูกันไฟอัตโนมัติ นั่นหมายความว่า หากเกิดเพลิงไหม้ในโซนใดโซนหนึ่ง ไฟจะถูกจำกัดอยู่ในพื้นที่นั้น และไม่ลุกลามไปยังโซนอื่นทันที สิ่งนี้คือการลด MPL ลงอย่างมหาศาล เพราะแทนที่ความเสียหายจะลุกลามจนกลายเป็นความเสียหายทั้งหมด บริษัทประกันภัยจะมองว่าความเสียหายอาจถูกจำกัดไว้แค่เพียงโซนเดียวเท่านั้น
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน สามารถพิจารณาจากกรณีศึกษาของโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้แห่งหนึ่ง ซึ่งเดิมมีเบี้ยประกันอัคคีภัยสูงมากเนื่องจากเป็นโรงงานเก่าที่โครงสร้างเชื่อมต่อกันทั้งหมด หลังจากปรึกษาหารือ โรงงานได้ตัดสินใจลงทุนสร้างกำแพงกันไฟคอนกรีตเสริมเหล็ก พร้อมติดตั้งระบบประตูกันไฟอัตโนมัติ แบ่งพื้นที่โรงงานออกเป็น 3 โซนหลัก ได้แก่ โซนจัดเก็บวัตถุดิบ, โซนการผลิต, และโซนพ่นสีและจัดเก็บสินค้าสำเร็จรูป แม้การลงทุนครั้งแรกจะมีมูลค่าไม่น้อย แต่เมื่อนำแผนผังโรงงานใหม่ที่มีการแบ่งโซนความเสี่ยงนี้ไปเสนอต่อบริษัทประกันภัย พร้อมเอกสารรับรองมาตรฐาน ผลลัพธ์ที่ได้คือ โรงงานได้รับส่วนลดเบี้ยประกันภัยอัคคีภัยสูงถึงร้อยละ 30 ซึ่งสามารถชดเชยค่าใช้จ่ายในการลงทุนได้ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี
ดังนั้น การลงทุนในกำแพงกันไฟและการแบ่งโซนความเสี่ยงอย่างเป็นระบบจึงไม่ใช่แค่การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยเท่านั้น แต่เป็นการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ทางธุรกิจที่สำคัญในการบริหารจัดการความเสี่ยงและลดต้นทุนด้านประกันภัยอย่างยั่งยืน การปรับปรุงรากฐานความปลอดภัยของโรงงานจึงเป็นแนวทางที่ช่วยให้ได้รับเบี้ยประกันที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่แท้จริง
สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารที่ต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงและการประกันภัยที่เหมาะสมกับธุรกิจโดยเฉพาะ สามารถติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง เพียงเพิ่มเพื่อนทาง LINE: @siamadvicefirm