
สำหรับโรงงานในอุตสาหกรรมแปรรูปไม้ การบริหารความเสี่ยงมักมุ่งเน้นไปที่อัคคีภัยเป็นหลัก ซึ่งเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเนื่องจากผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนและรุนแรง อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่สำคัญและมักถูกมองข้ามคือภัยเงียบที่ซ่อนอยู่ในสารเคมีอาบน้ำยาไม้ ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายในรูปแบบของความรับผิดด้านสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงและเรื้อรังได้ ความเสียหายจากการปนเปื้อนดิน น้ำ และอากาศ อาจบานปลายกลายเป็นปัญหาที่แก้ไขได้ยากยิ่งกว่าความเสียหายจากอัคคีภัย
เมื่อกล่าวถึงโรงงานไม้ ภาพจำแรกคือไม้เป็นเชื้อเพลิงชั้นดี แต่สำหรับโรงงานที่ใช้สารเคมีเพื่อแปรรูป ป้องกันปลวก หรือเคลือบผิวไม้ ความเสี่ยงควรถูกมองให้กว้างขึ้น สารเคมีเหล่านี้ล้วนมีศักยภาพในการปนเปื้อนสูง หากเกิดการรั่วไหล ไม่ว่าจากถังเก็บ ระบบท่อชำรุด หรือการกำจัดของเสียที่ไม่ถูกวิธี ผลกระทบจะแผ่ขยายสู่ดิน แหล่งน้ำใต้ดิน หรือระเหยสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งผลลัพธ์ที่ตามมานั้นเป็นเรื่องของความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง และด้วยกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น บทลงโทษจึงไม่ใช่แค่ค่าปรับ แต่เป็นมูลค่าความเสียหายที่สูงมาก หรืออาจถึงขั้นการสั่งปิดกิจการ
กรณีศึกษา: ภัยเงียบจากสารเคมีรั่วไหล
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน สามารถพิจารณาจากกรณีศึกษาของโรงงานไม้แห่งหนึ่งที่ใช้สารเคมีสำหรับอาบน้ำยาไม้ วันหนึ่งถังเก็บสารเคมีขนาดใหญ่เกิดการรั่วซึมเล็กน้อยในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์โดยไม่มีใครสังเกตเห็น จนกระทั่งสารเคมีได้ซึมลงสู่ดินและปนเปื้อนแหล่งน้ำใต้ดินในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่ชุมชนใช้ในการเกษตรและอุปโภคบริโภค
สิ่งที่ตามมาคือปัญหาที่ต่อเนื่องและซับซ้อน:
- การสั่งการจากหน่วยงานราชการ: หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมเข้าตรวจสอบและสั่งให้โรงงานหยุดดำเนินการบางส่วนเพื่อแก้ไขปัญหาการปนเปื้อน
- ค่าใช้จ่ายในการบำบัดฟื้นฟู: การบำบัดดินและแหล่งน้ำที่ปนเปื้อนต้องใช้งบประมาณมหาศาลและอาศัยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
- ค่าปรับและคดีความ: โรงงานต้องเผชิญกับค่าปรับจากหน่วยงานรัฐ และการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งนำไปสู่คดีความที่ยืดเยื้อ
- ผลกระทบต่อชื่อเสียงและธุรกิจ: ข่าวการปนเปื้อนส่งผลให้ภาพลักษณ์ของโรงงานเสียหายอย่างรุนแรง ลูกค้าและคู่ค้าอาจยกเลิกคำสั่งซื้อและถอยห่างจากธุรกิจ
ประเด็นที่น่ากังวลที่สุดคือ กรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินหรือประกันภัยความรับผิดทั่วไปส่วนใหญ่ มักมีข้อยกเว้นไม่คุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากมลพิษหรือการปนเปื้อนสิ่งแวดล้อม เว้นแต่จะเป็นการซื้อความคุ้มครองเฉพาะทางเพิ่มเติมที่เรียกว่า ประกันภัยสิ่งแวดล้อม หรือ Environmental Impairment Liability (EIL) Policy ซึ่งเป็นเรื่องที่โรงงานจำนวนมากยังมองข้ามไป นี่คือช่องว่างความคุ้มครองขนาดใหญ่ที่อาจทำให้ธุรกิจประสบปัญหาอย่างไม่คาดคิด
ดังนั้น การจัดทำประกันภัยสิ่งแวดล้อมจึงไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นสำหรับโรงงานไม้ทุกแห่งที่มีการใช้สารเคมีในการดำเนินงาน การทำความเข้าใจและจัดการความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน ไม่ใช่เพียงเพื่อปฏิบัติตามกฎหมาย แต่เพื่อปกป้องทรัพย์สิน ชื่อเสียง และอนาคตของธุรกิจ การมองข้ามความเสี่ยงด้านนี้ เท่ากับการดำเนินธุรกิจบนความเสี่ยงที่พร้อมจะสร้างความเสียหายรุนแรงได้อย่างแท้จริง
สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารที่ต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงและการประกันภัยที่เหมาะสมกับธุรกิจโดยเฉพาะ สามารถติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง เพียงเพิ่มเพื่อนทาง LINE: @siamadvicefirm