
สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับวัสดุไวไฟและอ่อนไหวต่อสภาพแวดล้อมอย่างกระดาษ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับอัคคีภัยเป็นอันดับแรก แต่มีภัยเงียบอีกชนิดหนึ่งที่มักถูกมองข้ามหรือประเมินความรุนแรงต่ำกว่าความเป็นจริง นั่นคือ “น้ำ”
สำหรับโกดังเก็บม้วนกระดาษ น้ำคือภัยคุกคามที่ร้ายกาจและซับซ้อนกว่าไฟไหม้ในหลายสถานการณ์ ไม่ใช่แค่เพราะความถี่ในการเกิดเหตุที่อาจสูงกว่า แต่เป็นเพราะผลกระทบที่เกิดขึ้นกับกระดาษนั้นสามารถนำไปสู่ความเสียหายที่ไม่อาจฟื้นคืนได้ (Irreversible Damage) และส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตอย่างรุนแรง
ธรรมชาติของกระดาษกับน้ำเป็นสิ่งที่เข้ากันไม่ได้โดยสิ้นเชิง เมื่อกระดาษสัมผัสกับน้ำ ไม่ว่าจะปริมาณน้อยหรือมาก มันจะดูดซับความชื้นเข้าไปในเส้นใยทันที ทำให้โครงสร้างทางกายภาพของกระดาษเปลี่ยนไปอย่างถาวร ม้วนกระดาษจะพองตัว, บิดเบี้ยว, สูญเสียความแข็งแรง, และคุณภาพการพิมพ์ กระบวนการเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมักจะไม่สามารถแก้ไขให้กลับมามีคุณภาพเหมือนเดิมได้ ความเสียหายที่เกิดจากน้ำไม่ใช่แค่เรื่องของ “เปียกแล้วแห้ง” แต่มันคือการทำลายคุณสมบัติของวัสดุ ทำให้กระดาษกลายเป็นของเสียทันที
ยิ่งไปกว่านั้น แหล่งที่มาของความเสียหายจากน้ำก็ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ “น้ำท่วม” จากภัยธรรมชาติเท่านั้น ในความเป็นจริง ความเสียหายจากน้ำส่วนใหญ่มักมาจากสาเหตุภายในที่ดูเหมือนเล็กน้อยแต่มีผลกระทบมหาศาล ไม่ว่าจะเป็น:
- ระบบท่อประปาหรือท่อน้ำดับเพลิงแตก: ท่อขนาดเล็กที่รั่วซึมเป็นเวลานานสามารถสร้างความชื้นสะสมและทำลายม้วนกระดาษได้หลายตัน
- ระบบหัวจ่ายน้ำดับเพลิง (Sprinkler) ทำงานผิดพลาด: การทำงานโดยไม่ตั้งใจหรือการรั่วซึมเล็กน้อย สามารถฉีดน้ำใส่สินค้าในโกดังได้โดยไม่มีสัญญาณเตือน
- หลังคารั่ว หรือการระบายน้ำบนหลังคาไม่ดี: ฝนตกหนักเพียงครั้งเดียว หากมีรอยรั่วบนหลังคาหรือระบบระบายน้ำอุดตัน น้ำจะหยดลงสู่สินค้าด้านล่างอย่างต่อเนื่อง
- การควบแน่นของไอน้ำ (Condensation): ในโกดังที่ไม่มีการควบคุมอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสม การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศทำให้เกิดไอน้ำเกาะที่พื้นผิวและหยดลงมา
- การดับเพลิงที่เกิดขึ้นจริง: แม้ไฟจะควบคุมได้ แต่น้ำที่ใช้ในการดับเพลิงอาจสร้างความเสียหายให้กับสต็อกกระดาษที่เหลือมากกว่าตัวเปลวเพลิงเสียอีก
กรณีศึกษา: บทเรียนจากรอยรั่วเล็กน้อย
โรงงานผลิตกล่องกระดาษแห่งหนึ่งมีระบบป้องกันอัคคีภัยที่ทันสมัย วันหนึ่งในฤดูฝนหนัก พนักงานพบว่ามีน้ำรั่วซึมจากรอยต่อของหลังคาเพียงเล็กน้อยในมุมหนึ่งของโกดังเก็บวัตถุดิบ ซึ่งในตอนแรกประเมินว่าไม่น่าจะสร้างความเสียหายมากนัก
แต่ความจริงคือ รอยรั่วนั้นอยู่เหนือบริเวณที่เก็บม้วนกระดาษสำเร็จรูปที่กำลังจะถูกส่งออก และน้ำได้ซึมลงมาสะสมอยู่บนพื้นก่อนที่จะถูกค้นพบ เมื่อเวลาผ่านไป น้ำได้ซึมซาบเข้าไปในม้วนกระดาษที่อยู่ชั้นล่างสุดและลามขึ้นไปเรื่อยๆ ตามแรงดูดซับของกระดาษ เมื่อเปิดโกดังในวันถัดมา ภาพที่เห็นคือม้วนกระดาษกว่า 200 ตันบริเวณนั้นพองตัว, บิดเบี้ยว, และเกิดเชื้อราขึ้นบางส่วนภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง มูลค่าความเสียหายของกระดาษสูงถึงหลักล้านบาท และที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ ตารางการส่งมอบสินค้าต้องล่าช้าออกไป ทำให้เกิดค่าปรับจากการผิดสัญญาและเสียโอกาสทางธุรกิจจำนวนมาก
การประเมินความเสี่ยงสำหรับโกดังเก็บม้วนกระดาษต้องมองให้รอบด้านและลึกซึ้งกว่าแค่ภัยธรรมชาติที่เห็นได้ชัดเจน การลงทุนในระบบตรวจจับการรั่วไหลของน้ำ, การบำรุงรักษาหลังคาและท่อระบายน้ำอย่างสม่ำเสมอ, การตรวจสอบระบบท่อและหัวจ่ายน้ำดับเพลิงอย่างละเอียด, และการออกแบบพื้นที่จัดเก็บที่เหมาะสม (เช่น การยกพื้นให้สูง) ล้วนเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้บริหารไม่ควรมองข้าม
การทำประกันภัยที่ดี ไม่ได้หมายถึงแค่การมีกรมธรรม์ที่คุ้มครองอัคคีภัยอย่างครอบคลุมเท่านั้น แต่รวมถึงความคุ้มครองความเสียหายจากน้ำทุกรูปแบบที่อาจเกิดขึ้นได้ และที่สำคัญกว่านั้นคือ การพิจารณาความคุ้มครองที่ครอบคลุมถึง “ธุรกิจหยุดชะงัก” (Business Interruption) อันเนื่องมาจากความเสียหายจากน้ำ ซึ่งเป็นต้นทุนที่มองไม่เห็นแต่เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ธุรกิจขาดรายได้ไปอย่างมหาศาล
สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารที่ต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงและการประกันภัยที่เหมาะสมกับธุรกิจโดยเฉพาะ สามารถติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง เพียงเพิ่มเพื่อนทาง LINE: @siamadvicefirm