
ในฐานะที่ปรึกษาด้านประกันภัยที่ได้คลุกคลีกับธุรกิจโรงงานมานานหลายปี ผมมักจะเห็นภาพซ้ำๆ ที่น่าเป็นห่วง: โรงงานหลายแห่งให้ความสำคัญกับการป้องกันความเสี่ยงจากเหตุการณ์ภายนอก แต่กลับมองข้าม “ระเบิดเวลา” ที่ซ่อนอยู่ภายในอาคารของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ที่ห้องพ่นสีและเคลือบเงา คือจุดกำเนิดของอัคคีภัยที่ร้ายแรงที่สุดและเกิดขึ้นบ่อยครั้งที่สุด และจากประสบการณ์ตรง ผมกล้ายืนยันว่าโรงงานเฟอร์นิเจอร์ถึง 80% มีจุดอ่อนตรงนี้ โดยที่ผู้บริหารส่วนใหญ่มองข้าม หรือคิดว่าจัดการได้แล้ว แต่ในความเป็นจริงยังไม่ใช่
เหตุใดห้องพ่นสีและเคลือบเงาจึงกลายเป็นจุดเสี่ยงอันดับหนึ่งที่หลายโรงงานมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย? คำตอบนั้นซับซ้อนกว่าแค่ “มีสารเคมีไวไฟ” แต่เกี่ยวพันกับหลายปัจจัยที่ประกอบกันเป็นความเสี่ยงที่สมบูรณ์แบบ
ประการแรก สารเคมีที่ใช้ในห้องพ่นสีไม่ว่าจะเป็นสี, ทินเนอร์, หรือแลคเกอร์ ล้วนแล้วแต่เป็นสารไวไฟสูงและระเหยง่าย การระเหยของสารเหล่านี้สร้างไอระเหยที่หนักกว่าอากาศ ซึ่งจะสะสมตัวอยู่ในพื้นที่ปิดและต่ำ หากระบบระบายอากาศไม่เพียงพอหรือบกพร่อง เพียงแค่ประกายไฟเล็กๆ หรือความร้อนที่ผิดปกติ ก็สามารถจุดชนวนให้เกิดการลุกไหม้หรือระเบิดได้อย่างรวดเร็ว
ประการที่สอง ปัจจัยทางกายภาพและกลไกในการทำงานเป็นตัวเร่งความเสี่ยงอย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้าสถิตที่เกิดจากการพ่นสี, แรงเสียดทานจากการเคลื่อนไหวของอุปกรณ์, มอเตอร์ระบายอากาศที่อาจมีประกายไฟ, หรือแม้กระทั่งการสะสมของละอองสีและฝุ่นผงที่ผสมกับสารเคมีติดไฟได้ง่ายบนพื้นผิวและอุปกรณ์ต่างๆ การทำความสะอาดที่ไม่ทั่วถึงหรือไม่ถูกวิธี ก็นับเป็นการสะสมเชื้อเพลิงชั้นดีที่พร้อมจะลุกไหม้ได้ตลอดเวลา และที่อันตรายยิ่งกว่าคือ “ความเคยชิน” และ “ความประมาท” ของบุคลากร การละเลยมาตรฐานความปลอดภัยเล็กๆ น้อยๆ ล้วนแล้วแต่เป็นตัวแปรที่นำไปสู่หายนะ
ผมเคยมีโอกาสได้เข้าไปประเมินความเสียหายของโรงงานเฟอร์นิเจอร์ไม้ขนาดกลางแห่งหนึ่งในจังหวัดแถบภาคตะวันออก หลังจากที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ สาเหตุเริ่มต้นจาก “ห้องพ่นสี” ที่ดูเหมือนจะได้รับการดูแลอย่างดี แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับมีช่องโหว่ที่ไม่คาดคิด โรงงานแห่งนี้ใช้ระบบระบายอากาศที่เก่าแก่และไม่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ พัดลมดูดอากาศตัวหนึ่งเกิดขัดข้อง ทำให้การระบายไอระเหยของทินเนอร์และละอองสีไม่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไอระเหยและละอองสีจึงสะสมตัวหนาขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง ในขณะที่ช่างกำลังทำงานอยู่ ได้เกิดประกายไฟเล็กๆ จากสายไฟที่ชำรุดบริเวณมอเตอร์พัดลมอีกตัวหนึ่งที่ยังทำงานอยู่ ประกายไฟนั้นเพียงพอที่จะจุดประกายไอระเหยที่อิ่มตัวอยู่ในอากาศ และความเสียหายที่ตามมานั้นเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เพลิงลุกลามอย่างรวดเร็วไปยังสต็อกไม้และเฟอร์นิเจอร์ที่ยังไม่เสร็จ ซึ่งอยู่ใกล้กับห้องพ่นสีเพียงไม่กี่เมตร แม้ว่าจะมีระบบดับเพลิงเบื้องต้น แต่ก็ไม่สามารถควบคุมเพลิงที่ลุกโชนอย่างรวดเร็วได้ทันท่วงที
ผลลัพธ์คือความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้ ตัวอาคารหลักเสียหายอย่างหนัก, เครื่องจักรส่วนใหญ่ถูกทำลาย, สินค้าคงคลังทั้งหมดกลายเป็นเถ้าถ่าน ที่เลวร้ายกว่านั้นคือ “การหยุดชะงักของธุรกิจ” โรงงานต้องหยุดการผลิตนานกว่า 6 เดือน, ลูกค้าขาประจำเริ่มหันไปหาคู่แข่ง, และพนักงานจำนวนมากต้องถูกเลิกจ้าง ในทางประกันภัย แม้โรงงานแห่งนี้จะมีประกันอัคคีภัย แต่ความคุ้มครองที่ทำไว้กลับไม่ครอบคลุมมูลค่าความเสียหายทั้งหมด ทั้งจากมูลค่าทรัพย์สินที่ทำประกันต่ำกว่าความเป็นจริง (Under-insurance) และที่สำคัญคือไม่ได้ทำประกันความคุ้มครองธุรกิจหยุดชะงัก (Business Interruption) ทำให้ต้องแบกรับภาระการขาดรายได้และค่าใช้จ่ายคงที่ในช่วงที่โรงงานหยุดดำเนินการ ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่สร้างความเสียหายให้ธุรกิจมากกว่าตัวอาคารและเครื่องจักรเสียอีก
จากประสบการณ์ที่ได้พบเห็น ผมจึงอยากย้ำอีกครั้งว่า ห้องพ่นสีและเคลือบเงาไม่ใช่เพียงแค่พื้นที่ทำงาน แต่คือ “หัวใจความเสี่ยง” ของโรงงานเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่ควรมองข้าม การลงทุนในการปรับปรุงระบบระบายอากาศให้ได้มาตรฐาน, การจัดหาอุปกรณ์ไฟฟ้าที่กันระเบิด, การบำรุงรักษาที่เคร่งครัด, และที่สำคัญที่สุดคือการฝึกอบรมบุคลากรให้เข้าใจถึงอันตรายและปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด รวมถึงการทำประกันภัยที่ “เหมาะสมและครอบคลุม” ไม่ใช่เพียงแค่ประกันอัคคีภัยพื้นฐาน แต่ควรรวมถึงประกันความคุ้มครองธุรกิจหยุดชะงัก และความรับผิดต่อบุคคลภายนอกด้วย สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่ค่าใช้จ่าย แต่คือการลงทุนที่สำคัญที่สุดในการปกป้องอนาคตของธุรกิจและพนักงานทุกคนของท่าน
สำหรับท่านเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารที่ต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงและการประกันภัยที่เหมาะสมกับธุรกิจของท่านโดยเฉพาะ สามารถพูดคุยกับทีมผู้เชี่ยวชาญของเราได้โดยตรง เพียงเพิ่มเพื่อนทาง LINE: @siamadvicefirm