
สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง การลงทุนในระบบความปลอดภัยมักถูกมองว่าเป็นเพียงรายจ่ายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การลงทุนในระบบความปลอดภัยที่ถูกวางแผนมาอย่างดีไม่ใช่รายจ่าย แต่คือการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่สามารถคำนวณผลตอบแทน (ROI) ได้อย่างเป็นรูปธรรม และเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการลดเบี้ยประกันภัยอย่างยั่งยืน
ตลาดประกันภัยในปัจจุบันไม่ได้ประเมินแค่ความเสี่ยงเท่านั้น แต่ยังประเมินการบริหารความเสี่ยงด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับโรงงานที่ผลิตสินค้าติดไฟง่าย เช่น พลาสติก, ยาง, ไม้, หรือกระดาษ บริษัทประกันภัยมองหาหลักฐานที่เป็นรูปธรรมว่าโรงงานไม่ได้แค่พยายามลดความเสี่ยง แต่ได้ลงทุนและมีระบบที่พิสูจน์ได้ว่าช่วยลดโอกาสเกิดความเสียหายร้ายแรงได้จริง การมีระบบดับเพลิงอัตโนมัติที่ทันสมัย, ระบบดูดฝุ่นที่ได้มาตรฐาน, หรือการบำรุงรักษาเครื่องจักรเชิงป้องกัน ล้วนเป็นรูปธรรมที่ชี้ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการลดความเสี่ยง
เมื่อสามารถนำเสนอข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งชี้ให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่จับต้องได้ เช่น สถิติอุบัติเหตุที่ลดลง หรือการมีใบรับรองมาตรฐานความปลอดภัยต่างๆ สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการเจรจาต่อรองกับบริษัทประกันภัย เบี้ยประกันภัยถูกคำนวณจากความน่าจะเป็นและความรุนแรงของความเสียหาย หากสามารถแสดงให้เห็นว่าโรงงานมีความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุน้อยลง หรือหากเกิดเหตุก็มีความสามารถในการควบคุมความเสียหายได้ดีขึ้น บริษัทประกันภัยย่อมยินดีที่จะปรับลดเบี้ยประกันให้ เพราะนั่นหมายถึงความเสี่ยงของพวกเขาก็ลดลงด้วย นอกจากนี้ การลงทุนด้านความปลอดภัยยังช่วยลดความเสียหายทางอ้อม เช่น การหยุดชะงักของการผลิต ซึ่งเป็นสิ่งที่เบี้ยประกันภัยไม่สามารถคุ้มครองได้ทั้งหมด
กรณีศึกษา: การคำนวณ ROI จากการลงทุนด้านความปลอดภัย
โรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้แห่งหนึ่งประสบปัญหาไฟไหม้เล็กน้อยบ่อยครั้งจากการสะสมของฝุ่นไม้และระบบไฟฟ้าที่เก่า ทำให้ในแต่ละปีต้องจ่ายเบี้ยประกันอัคคีภัยในอัตราที่สูงและมีค่าใช้จ่ายจากการหยุดการผลิตเพื่อซ่อมแซมความเสียหายอีกหลายล้านบาท ผู้บริหารตัดสินใจลงทุนติดตั้งระบบดูดฝุ่นอัตโนมัติแบบรวมศูนย์พร้อมระบบดับเพลิง และปรับปรุงระบบไฟฟ้าทั้งหมด ใช้งบประมาณไป 15 ล้านบาท
หลังจากนั้น ได้มีการเก็บข้อมูลอย่างละเอียด พบว่าสถิติอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับไฟไหม้ลดลงเหลือศูนย์ภายในปีแรก และจำนวนชั่วโมงการหยุดผลิตลดลง 90% ข้อมูลเหล่านี้พร้อมกับรายงานการตรวจสอบความปลอดภัยจากหน่วยงานภายนอก ถูกนำไปเสนอต่อบริษัทประกันภัยอย่างเป็นระบบ
ผลลัพธ์ที่ได้คือ ภายใน 2 ปี โรงงานได้รับการปรับลดเบี้ยประกันอัคคีภัยและประกันความรับผิดต่อบุคคลที่สามลงรวมกันถึง 25% ซึ่งคิดเป็นเงินประมาณ 3 ล้านบาทต่อปี และเมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงที่ลดลงและผลผลิตที่ไม่หยุดชะงัก จึงสามารถคำนวณได้ว่าโครงการลงทุน 15 ล้านบาทนี้ มี ROI เกิน 20% ต่อปี และจะคืนทุนได้ภายใน 5 ปี สิ่งที่โรงงานนี้ทำคือการเปลี่ยนการลงทุนในความปลอดภัยจาก “ต้นทุน” ให้กลายเป็น “สินทรัพย์” ที่สร้างผลตอบแทน และนำเสนอคุณค่าที่จับต้องได้ให้กับบริษัทประกันภัย
ท้ายที่สุดแล้ว การมองว่าการลงทุนในระบบความปลอดภัยเป็นเพียงภาระค่าใช้จ่ายหรือเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายขั้นต่ำนั้นเป็นความคิดที่ล้าสมัย การบริหารความเสี่ยงคือหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และการลงทุนในความปลอดภัยก็คือเครื่องมือชิ้นสำคัญที่สุดในการแสดงให้เห็นถึงความพร้อมและความรับผิดชอบ ซึ่งจะนำไปสู่ผลตอบแทนที่จับต้องได้ ทั้งในรูปของการลดเบี้ยประกันภัยและการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การคำนวณ ROI จากการลงทุนด้านความปลอดภัยไม่ใช่แค่เรื่องของการเงิน แต่เป็นเครื่องสะท้อนถึงวิสัยทัศน์และความเป็นมืออาชีพในการบริหารจัดการความเสี่ยง
สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารที่ต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงและการประกันภัยที่เหมาะสมกับธุรกิจโดยเฉพาะ สามารถติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง เพียงเพิ่มเพื่อนทาง LINE: @siamadvicefirm