
สำหรับโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มโรงงานพลาสติก การทำประกันภัยเพื่อคุ้มครองความเสี่ยงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม การลงทุนที่คุ้มค่าและเป็นหัวใจของการป้องกันภัยอย่างแท้จริงนั้น ไม่ใช่แค่การซื้อประกันให้ครอบคลุม แต่เป็นการยกระดับและบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าให้มีมาตรฐานสูงสุดอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นประเด็นที่อาจถูกละเลยจนนำไปสู่ความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้
เหตุผลที่การจัดการระบบไฟฟ้ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ล้วนเชื่อมโยงกับลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรมพลาสติกและความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ภายใน:
ประการแรก ต้องเข้าใจว่าไฟฟ้าคือต้นเหตุอันดับหนึ่งของเพลิงไหม้ในโรงงานอุตสาหกรรมทั่วโลก และในโรงงานพลาสติก ปัญหานี้กลับทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เนื่องจากพลาสติกแทบทุกชนิดเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่พร้อมลุกไหม้และลุกลามอย่างรวดเร็วเมื่อเกิดประกายไฟหรือความร้อนสูงผิดปกติจากระบบไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นสายไฟเก่า, ฉนวนแตกหัก, จุดต่อหลวม, หรือการโอเวอร์โหลดของวงจร สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยเสี่ยงที่พร้อมจะก่อให้เกิดอัคคีภัยได้ทุกเมื่อ และเมื่อเกิดขึ้นแล้ว การควบคุมทำได้ยากยิ่ง
ประการที่สอง ระบบไฟฟ้าในโรงงานพลาสติกมีความซับซ้อนและมีการใช้งานอย่างหนัก เครื่องจักรที่ใช้ในการแปรรูปพลาสติกล้วนเป็นเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าสูงและทำงานต่อเนื่องตลอดเวลา ทำให้เกิดความร้อนสะสมและการสึกหรอของอุปกรณ์ได้ง่าย การมองข้ามการตรวจสอบและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการตรวจสอบจุดที่มีความร้อนสูง (Hot Spot) ด้วยกล้องจับความร้อน (Thermal Camera) หรือการทดสอบระบบป้องกันกระแสเกิน ล้วนเป็นความประมาทที่อาจนำมาซึ่งความเสียหายรุนแรง
ประการสุดท้าย หากเกิดเหตุเพลิงไหม้จากระบบไฟฟ้าขึ้น ผลกระทบที่ตามมานั้นเกินกว่าความเสียหายต่อทรัพย์สินที่ประกันจะจ่ายคืนได้ แต่คือการหยุดชะงักของสายการผลิต (Business Interruption), การสูญเสียลูกค้าและโอกาสทางธุรกิจ, ความเสียหายต่อชื่อเสียง และที่สำคัญที่สุดคือความปลอดภัยในชีวิตของพนักงาน ซึ่งไม่มีประกันภัยใดๆ สามารถทดแทนคืนมาได้
กรณีศึกษา: การลงทุนในระบบไฟฟ้าที่แตกต่าง
โรงงานผลิตชิ้นส่วนพลาสติกแห่งหนึ่งเคยประสบเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ โดยมีสาเหตุมาจากสายไฟที่เสื่อมสภาพและจุดต่อที่ไม่แน่นหนาบริเวณเครื่องฉีดพลาสติกที่ใช้งานมานานโดยไม่เคยได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียด แม้โรงงานจะมีกรมธรรม์ประกันภัยวงเงินสูง แต่กว่าจะเรียกร้องสินไหมและฟื้นฟูธุรกิจได้ก็ใช้เวลาและต้นทุนมหาศาล ความเสียหายทางอ้อมนั้นประเมินค่าไม่ได้
ในทางกลับกัน โรงงานพลาสติกอีกแห่งหนึ่งที่เริ่มต้นธุรกิจด้วยการจัดสรรงบประมาณเพื่อลงทุนในระบบไฟฟ้าที่ทันสมัยและได้มาตรฐานสากลตั้งแต่แรก มีการติดตั้งระบบป้องกันที่ดีเยี่ยมและจัดทำแผนบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) อย่างเข้มงวด ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา โรงงานแห่งนี้ไม่เคยประสบปัญหาเพลิงไหม้ร้ายแรงจากระบบไฟฟ้าเลย ทำให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า และมีเบี้ยประกันภัยอัคคีภัยอยู่ในระดับที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่ลดลงไปมาก
ดังนั้น การมองว่าการลงทุนในระบบไฟฟ้าเป็นเพียงค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น จึงเป็นความคิดที่อันตรายอย่างยิ่ง การลงทุนนี้ไม่ใช่แค่การซื้อความปลอดภัย แต่เป็นการลงทุนในความต่อเนื่องทางธุรกิจ, ชื่อเสียง, และอนาคตที่ยั่งยืนของโรงงาน การป้องกันไว้ก่อนเกิดเหตุ ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากว่าการเยียวยาหลังเกิดเหตุการณ์ไปแล้วอย่างเทียบกันไม่ได้
สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารที่ต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงและการประกันภัยที่เหมาะสมกับธุรกิจโดยเฉพาะ สามารถติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง เพียงเพิ่มเพื่อนทาง LINE: @siamadvicefirm