การประกันภัยแม่พิมพ์ (Mould) สำหรับโรงงานพลาสติก: ช่องว่างความคุ้มครองที่ต้องพิจารณา

ในอุตสาหกรรมการผลิต โดยเฉพาะโรงงานพลาสติก มักมีข้อผิดพลาดที่ถูกมองข้ามหรือขาดคำแนะนำที่ครบถ้วน จนนำไปสู่การจ่ายเบี้ยประกันภัยที่ไม่คุ้มค่า หรือร้ายแรงกว่านั้นคือเกิดความเสียหายแต่ไม่สามารถเรียกร้องสินไหมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ “แม่พิมพ์ (Mould)” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการผลิต คำถามสำคัญคือ: ประกันอัคคีภัยหรือประกันภัยความเสี่ยงภัยทุกชนิด (All Risks) ที่มีอยู่ ครอบคลุมความเสียหายของแม่พิมพ์ได้อย่างแท้จริงและเพียงพอหรือไม่? โรงงานพลาสติกส่วนใหญ่อาจกำลังเข้าใจผิดในประเด็นนี้

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “ทรัพย์สิน” ทั่วไป และความซับซ้อนของ “แม่พิมพ์”

เหตุผลประการแรกที่ทำให้เกิดช่องโหว่ในการคุ้มครองแม่พิมพ์ คือความเข้าใจผิดที่มองว่าแม่พิมพ์เป็นเพียงทรัพย์สินชนิดหนึ่งที่ถูกรวมอยู่ในหมวดอาคารและเครื่องจักรภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยพื้นฐาน แต่ในความเป็นจริงแล้ว แม่พิมพ์มีความเฉพาะเจาะจงและมีมูลค่าสูงมาก หลายครั้งที่มูลค่าของแม่พิมพ์เพียงชิ้นเดียวสามารถเท่ากับหรือมากกว่ามูลค่าเครื่องฉีดพลาสติกทั้งเครื่อง

ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อกรมธรรม์เหล่านี้มักจะระบุข้อยกเว้น หรือเงื่อนไขพิเศษที่เกี่ยวกับ “เครื่องมือ, แม่พิมพ์, หรือแบบหล่อ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่ความเสียหายเกิดจากการใช้งานปกติ, การสึกหรอ, ข้อบกพร่องภายในตัวทรัพย์สินเอง, หรือความผิดพลาดจากการออกแบบ ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่แม่พิมพ์ต้องเผชิญอยู่ตลอดเวลา หากแม่พิมพ์เกิดรอยร้าวภายในจากการทำงานต่อเนื่อง หรือเสียหายจากความคลาดเคลื่อนในการออกแบบ ซึ่งไม่ใช่ความเสียหายจากภัยภายนอกโดยตรง ประกันภัยพื้นฐานที่มีอยู่อาจไม่ให้ความคุ้มครอง

อีกประเด็นสำคัญคือเรื่องของมูลค่า การประเมินมูลค่าแม่พิมพ์ในกรมธรรม์ส่วนใหญ่ มักจะถูกรวมอยู่ในวงเงินคุ้มครองทรัพย์สินโดยรวม ซึ่งอาจไม่สะท้อนถึงมูลค่าทดแทนที่แท้จริงของแม่พิมพ์แต่ละชิ้น โดยเฉพาะเมื่อเป็นแม่พิมพ์ที่มีความซับซ้อนสูงและต้องนำเข้า

กรณีศึกษา: บทเรียนราคาแพงที่อาจเกิดขึ้น

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน สามารถพิจารณาจากกรณีศึกษาของโรงงานผลิตชิ้นส่วนพลาสติกแห่งหนึ่ง ซึ่งเกิดเหตุการณ์ที่แม่พิมพ์ฉีดพลาสติกเสียหายจากการติดขัดภายในเครื่องจักร ทำให้แม่พิมพ์บุบเสียหายอย่างหนัก คิดเป็นมูลค่าความเสียหายเฉพาะตัวแม่พิมพ์สูงถึง 5 ล้านบาท โรงงานแห่งนี้มั่นใจว่าตนเองมีประกันภัยความเสี่ยงภัยทุกชนิด (All Risks) ที่มีวงเงินคุ้มครองทรัพย์สินสูงและเพียงพอต่อการเรียกร้องสินไหม

แต่เมื่อยื่นเรื่อง บริษัทประกันภัยตรวจสอบพบว่า ความเสียหายของแม่พิมพ์นั้นเกิดจากความผิดปกติของตัวเครื่องจักรและความเสียหายภายในตัวทรัพย์สิน (เครื่องมือ/แม่พิมพ์) ซึ่งเป็นข้อยกเว้นที่ระบุไว้อย่างชัดเจนในกรมธรรม์มาตรฐานทั่วไป สุดท้ายโรงงานไม่สามารถเรียกร้องค่าเสียหายของแม่พิมพ์ได้ ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมและจัดหาแม่พิมพ์ใหม่เองทั้งหมด ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงิน และที่สำคัญคือการหยุดชะงักของสายการผลิตที่ยาวนานกว่า 3 เดือน

บทเรียนจากกรณีนี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การมีประกันที่ดูเหมือนครอบคลุม ไม่ได้หมายความว่าครอบคลุมทุกสิ่งเสมอไป โดยเฉพาะกับทรัพย์สินเฉพาะทางอย่างแม่พิมพ์ ที่มีความเสี่ยงและลักษณะความเสียหายที่แตกต่างจากทรัพย์สินทั่วไป

ดังนั้น การมีประกันอัคคีภัยหรือประกันภัย All Risks นั้นเป็นเรื่องที่ดีและจำเป็น แต่การเข้าใจถึงจุดอ่อนและช่องว่างของความคุ้มครองที่มีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแม่พิมพ์ คือสิ่งสำคัญยิ่งกว่า การจ่ายเบี้ยประกันควรเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ได้รับความคุ้มครองที่ตรงจุด และเป็นไปตามความเสี่ยงที่แท้จริงของธุรกิจ ไม่ใช่การจ่ายไปกับความคุ้มครองที่อาจไม่ครอบคลุมในยามที่จำเป็นที่สุด

ถึงเวลาแล้วที่ผู้ประกอบการจะต้องพิจารณากรมธรรม์ประกันภัยอย่างละเอียด และหากยังไม่มั่นใจในความคุ้มครองที่มีอยู่ หรือต้องการคำแนะนำในการบริหารความเสี่ยงสำหรับทรัพย์สินที่สำคัญยิ่งเช่นแม่พิมพ์ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารที่ต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงและการประกันภัยที่เหมาะสมกับธุรกิจโดยเฉพาะ สามารถติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง เพียงเพิ่มเพื่อนทาง LINE: @siamadvicefirm

Leave a Comment