
สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตที่เกี่ยวข้องกับไม้ ยาง พลาสติก และกระดาษ หนึ่งในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัยสูงสุด แต่มักถูกให้ความสำคัญน้อยเกินไป คือห้องพ่นสีและเคลือบเงา การบริหารความเสี่ยงในพื้นที่นี้อย่างไม่เพียงพออาจนำไปสู่ความเสียหายรุนแรง และเมื่อเกิดเหตุขึ้น การเตรียมรับมือมักไม่เพียงพอต่อขนาดของความเสียหายที่เกิดขึ้น
เหตุใดห้องพ่นสีจึงเป็นพื้นที่อันตรายอย่างยิ่ง
ความเสี่ยงในห้องพ่นสีมีความซับซ้อนและเกิดจากการผสมผสานกันของปัจจัยเสี่ยงหลายประการ ดังนี้:
- เชื้อเพลิง: ภายในห้องพ่นสีเป็นแหล่งสะสมของสารไวไฟสูง ไม่ว่าจะเป็นสี ทินเนอร์ แลคเกอร์ และสารละลายอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นไอระเหยที่สามารถสะสมอยู่ตามพื้นห้องหรือจุดอับ และพร้อมจะลุกไหม้หรือเกิดการระเบิดแฟลช (Flash Fire) ได้เมื่อมีประกายไฟ นอกจากนี้ ฝุ่นละอองจากสีที่ตกค้างตามพื้นผิวต่างๆ ก็เป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่เพิ่มความเสี่ยงให้เปลวไฟลุกลามอย่างรวดเร็ว
- แหล่งกำเนิดประกายไฟ: ในพื้นที่นี้มีแหล่งกำเนิดประกายไฟอยู่มากมาย ตั้งแต่ไฟฟ้าสถิตที่เกิดจากการพ่นสี, เครื่องมือไฟฟ้าที่ไม่ได้มาตรฐาน, ระบบสายไฟที่ชำรุด, ไปจนถึงประกายไฟจากมอเตอร์พัดลมระบายอากาศ ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยไอระเหยไวไฟ ประกายไฟขนาดเล็กที่ปกติไม่มีผลอันตราย กลับสามารถกลายเป็นชนวนระเบิดขนาดใหญ่ได้ทันที
- สภาพแวดล้อมที่ปิด: ลักษณะเฉพาะของห้องพ่นสีที่เป็นพื้นที่ปิด หากมีการระบายอากาศที่ไม่เพียงพอ จะทำให้ไอระเหยไวไฟและฝุ่นละอองสะสมตัวหนาแน่นขึ้น เพิ่มความเข้มข้นของเชื้อเพลิงในอากาศให้ถึงจุดที่พร้อมจะระเบิดได้ง่าย นอกจากนี้ เมื่อเกิดเพลิงไหม้ในพื้นที่ปิด การควบคุมและดับเพลิงจะทำได้ยากกว่ามาก
กรณีศึกษา: บทเรียนจากห้องพ่นสี
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน สามารถพิจารณาจากกรณีศึกษาของโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ส่งออกแห่งหนึ่ง เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นจากไฟฟ้าสถิตเพียงเล็กน้อยที่เกิดจากการพ่นเคลือบเงา ในขณะที่ระบบระบายอากาศทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ ไอระเหยของสารเคมีที่สะสมอยู่ถึงจุดวิกฤติ และเพียงประกายไฟเล็กๆ ก็จุดชนวนให้เกิดการระเบิดแฟลชอย่างรุนแรง เปลวไฟพุ่งเข้าเผาผลาญภายในห้องพ่นสีในเวลาไม่กี่วินาที ก่อนจะลามไปยังพื้นที่เก็บวัสดุไวไฟใกล้เคียงอย่างรวดเร็ว
แม้ระบบดับเพลิงอัตโนมัติจะทำงาน แต่ด้วยความรุนแรงและลักษณะของเพลิงไหม้ที่เกิดจากสารเคมี ทำให้การควบคุมเป็นไปอย่างยากลำบาก เพลิงไหม้ได้ทำลายห้องพ่นสีทั้งหมดและเครื่องจักรที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ความร้อนและควันยังส่งผลกระทบต่อโครงสร้างอาคารและสินค้าที่อยู่ใกล้เคียง สินค้าสำเร็จรูปจำนวนมากถูกทำลาย ประกันอัคคีภัยอาจคุ้มครองความเสียหายทางกายภาพได้ในระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่ตามมาคือความเสียหายทางธุรกิจที่ประเมินค่าไม่ได้ โรงงานต้องหยุดการผลิตไปนานหลายเดือนเพื่อซ่อมแซม คำสั่งซื้อจากต่างประเทศถูกยกเลิก และสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้า ความเสียหายทางอ้อมเหล่านี้ ไม่ใช่ทุกกรมธรรม์ประกันภัยจะครอบคลุม หากไม่มีการวางแผนและการเลือกความคุ้มครองที่เหมาะสม
ดังนั้น การลงทุนในระบบความปลอดภัยและการบริหารจัดการความเสี่ยงในห้องพ่นสีและเคลือบเงา จึงไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่สิ้นเปลือง แต่เป็นการลงทุนที่สำคัญอย่างยิ่งเพื่อปกป้องธุรกิจและอนาคตขององค์กร การป้องกันและลดความเสี่ยงตั้งแต่ต้นทางคือหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน
สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารที่ต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงและการประกันภัยที่เหมาะสมกับธุรกิจโดยเฉพาะ สามารถติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง เพียงเพิ่มเพื่อนทาง LINE: @siamadvicefirm