แนวทางการเจรจาต่อรองเมื่อได้รับข้อเสนอค่าสินไหมทดแทนต่ำกว่าที่คาดการณ์

แนวทางการเจรจาต่อรองเมื่อได้รับข้อเสนอค่าสินไหมทดแทนต่ำกว่าที่คาดการณ์

ในการเรียกร้องสินไหมทดแทนหลังเกิดความเสียหายในโรงงานอุตสาหกรรม การที่บริษัทประกันภัยเสนอเงินเคลมที่ต่ำกว่ามูลค่าความเสียหายที่แท้จริงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ และการยอมรับข้อเสนอเคลมที่ต่ำเกินไปโดยไม่มีการทบทวนหรือเจรจาต่อรอง อาจทำให้ธุรกิจต้องแบกรับภาระที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น

เหตุใดบริษัทประกันภัยจึงอาจเสนอเงินเคลมต่ำกว่าที่คาด

สถานการณ์นี้ไม่ได้เกิดจากความไม่ซื่อสัตย์เสมอไป แต่ส่วนหนึ่งมาจากความซับซ้อนของกรมธรรม์, ความแตกต่างในการประเมินมูลค่าความเสียหาย, และบางครั้งก็เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจ การประเมินความเสียหายสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมที่มีเครื่องจักรเฉพาะทางและสต็อกสินค้าที่มีมูลค่าผันผวนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย บริษัทประกันภัยอาจมีเกณฑ์การประเมินที่แตกต่างออกไป เช่น การตีค่าเครื่องจักรที่เสียหายด้วยมูลค่าที่ลดลงตามอายุการใช้งาน (Depreciation) แทนที่จะเป็นมูลค่าทดแทนใหม่ (Replacement Cost) หรืออาจมองข้ามความเสียหายทางอ้อม เช่น การหยุดชะงักของธุรกิจ (Business Interruption)

นอกจากนี้ กระบวนการตรวจสอบอาจมีข้อจำกัดด้านความเชี่ยวชาญเฉพาะทางสำหรับอุตสาหกรรมนั้นๆ หรือเอกสารหลักฐานที่ยื่นไปอาจไม่เพียงพอต่อการยืนยันมูลค่าความเสียหายทั้งหมด ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้การสื่อสารและนำเสนอข้อมูลอย่างละเอียดครบถ้วนเป็นสิ่งจำเป็น หากไม่มีความเข้าใจเชิงลึกในรายละเอียดของกรมธรรม์หรือไม่มีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำ บริษัทประกันภัยก็อาจใช้ข้อมูลที่มีอยู่ในการเสนอตัวเลขที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขามากที่สุด

กรณีศึกษา: การเจรจาต่อรองค่าสินไหมทดแทน

โรงงานผลิตยางรถยนต์แห่งหนึ่งเกิดเหตุเพลิงไหม้ห้องเก็บวัตถุดิบและบางส่วนของสายการผลิต มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นที่โรงงานประเมินอยู่ที่ประมาณ 80 ล้านบาท แต่หลังจากบริษัทประกันภัยส่งผู้สำรวจภัยเข้ามาประเมิน ได้เสนอเงินเคลมมาเพียง 50 ล้านบาท

ภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ ได้มีการเริ่มทบทวนกรมธรรม์อย่างละเอียดทุกบรรทัด เพื่อทำความเข้าใจขอบเขตความคุ้มครองและเงื่อนไขที่เกี่ยวข้อง จากนั้นจึงได้รวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เพียงแค่ภาพถ่ายความเสียหาย แต่รวมถึง:

  1. ใบเสนอราคาการซ่อมแซมและจัดซื้อเครื่องจักรใหม่: ที่ระบุรายละเอียดและเทคโนโลยีที่เทียบเท่าของเดิม
  2. เอกสารยืนยันมูลค่าสต็อกวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูป: ทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ
  3. รายงานการประเมินผลกระทบทางธุรกิจ: แสดงการสูญเสียรายได้และกำไรที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการหยุดผลิต
  4. รายงานของผู้เชี่ยวชาญอิสระ: ที่ประเมินความเสียหายของเครื่องจักรเฉพาะทาง
  5. ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เกิดขึ้น: เช่น ค่าขนย้ายซาก หรือค่าเช่าพื้นที่ชั่วคราว

เมื่อมีข้อมูลและหลักฐานที่ครบถ้วน พร้อมด้วยการทำความเข้าใจในเงื่อนไขของกรมธรรม์ จึงได้มีการนัดเจรจากับบริษัทประกันภัยอีกครั้ง โดยนำเสนอข้อมูลทั้งหมดอย่างละเอียด ชี้แจงถึงความแตกต่างในการตีความและวิธีการประเมิน และที่สำคัญคือการยืนยันสิทธิ์ของโรงงานตามกรมธรรม์ในแต่ละหัวข้อ

ผลลัพธ์คือ หลังจากการเจรจาหลายครั้ง บริษัทประกันภัยได้ปรับเพิ่มข้อเสนอเงินเคลมเป็น 75 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับมูลค่าความเสียหายที่แท้จริงมากที่สุด กรณีนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าความรู้, ความเข้าใจ, และความพร้อมในการต่อรอง คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ได้รับเงินเคลมที่เป็นธรรม

สรุป

ผู้ประกอบการไม่ควรยอมรับข้อเสนอค่าสินไหมทดแทนที่ต่ำเกินไปในทันที การมีความรู้ความเข้าใจในกระบวนการเรียกร้องสินไหม, การรวบรวมหลักฐานอย่างละเอียด, และที่สำคัญที่สุดคือการมีผู้เชี่ยวชาญด้านประกันภัยที่ยืนอยู่เคียงข้าง คอยให้คำแนะนำและช่วยเจรจา จะช่วยให้ธุรกิจได้รับการชดเชยที่เหมาะสมและเป็นธรรมอย่างแท้จริง การเจรจาต่อรองไม่ใช่เรื่องของการสร้างความขัดแย้ง แต่คือการแสวงหาความยุติธรรมตามสิทธิ์ที่พึงได้รับภายใต้กรมธรรม์

สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารที่ต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงและการประกันภัยที่เหมาะสมกับธุรกิจโดยเฉพาะ สามารถติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง เพียงเพิ่มเพื่อนทาง LINE: @siamadvicefirm

Leave a Comment