
สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมการผลิตที่ใช้เครื่องจักรซับซ้อนและมีมูลค่าสูง ผู้ประกอบการไม่ควรด่วนสรุปว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเครื่องจักรเป็นเพียงแค่ “การเสื่อมสภาพตามการใช้งาน” จนมองข้ามโอกาสในการเรียกร้องสินไหมทดแทน (การเคลม) ในความเป็นจริง หลายกรณีที่ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาของการสึกหรอ แท้จริงแล้วอาจเข้าข่าย “อุบัติเหตุ” ที่กรมธรรม์คุ้มครอง และนี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่สามารถช่วยประหยัดเงินลงทุนของธุรกิจได้
ความแตกต่างระหว่าง “อุบัติเหตุ” และ “การเสื่อมสภาพ” ในมุมมองการประกันภัย
จำเป็นต้องทำความเข้าใจนิยามของคำว่า “อุบัติเหตุ” ในมุมมองของบริษัทประกันภัย ซึ่งแตกต่างจากความเข้าใจทั่วไป สำหรับประกันภัยเครื่องจักร “อุบัติเหตุ” ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การชนหรือไฟไหม้ แต่รวมถึงเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน, ฉับพลัน, และไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งส่งผลให้เครื่องจักรเกิดความเสียหายโดยตรง กรมธรรม์ประกันภัยเครื่องจักรเสีย (Machinery Breakdown Insurance) หรือประกันภัยความเสี่ยงทุกชนิด (All Risks Insurance) ได้รับการออกแบบมาเพื่อคุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดทางกลไก, ไฟฟ้า, หรือการระเบิดภายในเครื่องจักรเอง
ในทางกลับกัน “การเสื่อมสภาพตามการใช้งาน” หรือ “Wear and Tear” มักจะถูกยกเว้นจากการคุ้มครอง เนื่องจากเป็นการสึกหรอที่เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากการใช้งานตามปกติ หรือความบกพร่องที่เกิดจากการละเลยการบำรุงรักษา แต่ปัญหามักจะเกิดขึ้นตรงที่ “เส้นแบ่ง” ระหว่างสองคำนี้ไม่ได้ชัดเจนเสมอไป ในหลายกรณี ความเสียหายที่ดูเหมือนเกิดจากการสึกหรอ แท้จริงแล้วอาจเป็นผลมาจากเหตุการณ์ “ฉับพลัน” ที่ไม่อาจคาดเดาได้ เช่น ตลับลูกปืนที่ใช้งานมานานอาจเริ่มมีรอยสึกเล็กน้อย แต่หากเกิดการติดขัด (Seizure) อย่างฉับพลันจนทำให้เพลาเสียหาย หรือมอเตอร์เกิดการลัดวงจรอย่างกะทันหันเนื่องจากฉนวนเสื่อมสภาพ นั่นไม่ใช่แค่การเสื่อมสภาพอีกต่อไป แต่มันคือ “อุบัติเหตุ” ที่เกิดขึ้น ณ จุดเวลาหนึ่งและส่งผลให้เกิดความเสียหายรุนแรง
กรณีศึกษา: บทเรียนจากเครื่องจักรกระดาษ
โรงงานกระดาษแห่งหนึ่งเกิดปัญหาเครื่องจักร “Winder” ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการม้วนกระดาษ โดยตัวลูกกลิ้ง (Roller) ขนาดใหญ่ไม่สามารถหมุนได้ตามปกติ สร้างความเสียหายให้กับการผลิตมหาศาล ช่างประเมินเบื้องต้นว่าเป็นเพราะอายุการใช้งานและลูกปืนสึกหรอจึงติดขัด ผู้จัดการโรงงานจึงตัดสินใจจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการซ่อมเอง เนื่องจากคิดว่าน่าจะเป็นการเสื่อมสภาพตามการใช้งานและไม่สามารถเรียกร้องสินไหมได้
แต่ภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ ได้มีการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งและเก็บหลักฐานทุกอย่าง ตั้งแต่ภาพถ่ายความเสียหาย, บันทึกการบำรุงรักษา, รวมถึงข้อมูลการทำงานของเครื่องจักรก่อนเกิดเหตุการณ์ เพื่อส่งให้ผู้ประเมินความเสียหายของบริษัทประกันภัย ในที่สุด ผลการตรวจสอบทางเทคนิคและวิศวกรรมที่ละเอียดอ่อนแสดงให้เห็นว่า แม้ลูกปืนจะมีการใช้งานมานาน แต่ความเสียหายที่ทำให้ลูกกลิ้งหยุดหมุนอย่างฉับพลันนั้นเกิดจาก “การติดขัด (Seizure) อย่างรุนแรงและทันทีทันใด” ของตลับลูกปืน ซึ่งเป็นผลมาจากการเสียสมดุลภายในบางอย่างที่ไม่ใช่แค่การสึกหรอปกติ แต่เป็นการ “ชำรุดแบบฉับพลัน” ที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อเนื่องกับชิ้นส่วนอื่นๆ ความเสียหายนี้เข้าข่าย “อุบัติเหตุ” ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยเครื่องจักรเสีย ทำให้โรงงานแห่งนี้สามารถเรียกร้องค่าซ่อมเครื่องจักรและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องได้เกือบ 10 ล้านบาท ซึ่งหากด่วนสรุปไปเองว่าเป็นเพียงการเสื่อมสภาพ เงินจำนวนนี้คงต้องออกจากงบประมาณของโรงงานโดยตรง
จากประสบการณ์นี้ การทำความเข้าใจความหมายของ “อุบัติเหตุ” ในบริบทของประกันภัยเครื่องจักร รวมถึงการเก็บรวบรวมหลักฐานและข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด เป็นหัวใจสำคัญในการประสบความสำเร็จในการเรียกร้องสินไหม ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักรประเภทใดที่มีกลไกซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูง ความเสียหายที่ดูเหมือนเป็นการเสื่อมสภาพ อาจกลายเป็น “อุบัติเหตุ” ที่มีมูลค่าการเคลมมหาศาล หากได้รับการวินิจฉัยอย่างถูกจุดและมีข้อมูลสนับสนุนที่ครบถ้วน ดังนั้น จึงไม่ควรตัดสินใจด้วยตนเอง และไม่ควรมองข้ามความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับธุรกิจ
สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารที่ต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงและการประกันภัยที่เหมาะสมกับธุรกิจโดยเฉพาะ สามารถติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง เพียงเพิ่มเพื่อนทาง LINE: @siamadvicefirm