การเลือกซื้อประกันภัยสำหรับโรงงาน: ระหว่างแพ็คเกจรวมกับกรมธรรม์เฉพาะด้าน

สำหรับธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมการผลิตที่มีความเสี่ยงสูง เช่น โรงงานผลิตพลาสติก, ยาง, ไม้, หรือกระดาษ คำถามที่มักเกิดขึ้นคือ “การซื้อประกันแบบแพ็คเกจคุ้มค่าและสะดวกกว่าจริงหรือไม่” ในความเป็นจริง สำหรับธุรกิจที่มีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงเฉพาะตัวสูง การซื้อประกันแบบยกแพ็คที่ดูเหมือนจะเป็นทางออกที่ง่ายและประหยัดนั้น หลายครั้งกลับเป็นดาบสองคมที่อาจทิ้งช่องโหว่ร้ายแรงไว้ในยามวิกฤต และไม่คุ้มค่าในระยะยาวอย่างที่คิด

เหตุใดการซื้อประกันแบบแพ็คเกจจึงอาจไม่ใช่คำตอบเสมอไป

เหตุผลสำคัญประการแรกคือ ความไม่ลงตัวของความคุ้มครอง แพ็คเกจประกันภัยถูกออกแบบมาเพื่อให้ครอบคลุมความเสี่ยงทั่วไป ซึ่งอาจเหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กที่มีความเสี่ยงไม่ซับซ้อน แต่สำหรับโรงงานอุตสาหกรรม การดำเนินงานแต่ละขั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตั้งแต่เครื่องจักรที่มีมูลค่าสูงและซับซ้อน ไปจนถึงกระบวนการผลิตที่มีความเสี่ยงด้านอุบัติเหตุหรือความรับผิดต่อสิ่งแวดล้อม การประกันภัยแบบแพ็คเกจมักจะให้ความคุ้มครองที่ผิวเผินหรือมีวงเงินจำกัดสำหรับความเสี่ยงหลักๆ ที่ธุรกิจต้องเผชิญ เช่น แพ็คเกจอาจไม่ได้พิจารณาถึงความเสี่ยงของการระเบิดจากฝุ่นในโรงงานไม้ หรือการรั่วไหลของสารเคมีในโรงงานพลาสติก ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง จะสร้างความเสียหายเกินกว่าวงเงินคุ้มครองพื้นฐานอย่างแน่นอน

เหตุผลประการถัดมาคือเรื่องของ ประสิทธิภาพของเงินที่จ่ายไป ความคุ้มค่าไม่ได้อยู่ที่ราคาเบี้ยประกันที่จ่ายไปเท่านั้น แต่อยู่ที่ว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น กรมธรรม์นั้นสามารถเข้ามาช่วยเยียวยาความเสียหายและพยุงธุรกิจให้กลับมายืนได้เร็วแค่ไหน หากซื้อประกันในราคาที่ถูกกว่าแต่ความคุ้มครองไม่ครอบคลุมความเสี่ยงสำคัญ หรือมีข้อจำกัดที่ทำให้ไม่สามารถเรียกร้องสินไหมได้เต็มจำนวน นั่นเท่ากับเป็นการซื้อความสบายใจที่ไม่สามารถช่วยเหลือได้จริงในยามคับขัน และเมื่อถึงตอนนั้น ค่าใช้จ่ายที่ตามมาจากการที่ประกันไม่ครอบคลุมอาจสูงกว่าเบี้ยประกันที่ประหยัดไปหลายเท่าตัว

กรณีศึกษาเปรียบเทียบ

โรงงานผลิตยางรถยนต์ขนาดกลางแห่งหนึ่งเลือกซื้อประกันภัยโรงงานแบบแพ็คเกจอุตสาหกรรม เพราะเห็นว่าสะดวกและค่าเบี้ยไม่สูง แพ็คเกจนั้นครอบคลุมประกันอัคคีภัย, ประกันเครื่องจักรเสียหาย, และประกันความรับผิดต่อบุคคลภายนอก แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์เครื่องผสมยางขนาดใหญ่ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการผลิตเสียกะทันหัน ทำให้การผลิตหยุดชะงักนานกว่า 2 สัปดาห์ พวกเขาพบว่าประกันเครื่องจักรที่ซื้อไว้มีวงเงินคุ้มครองไม่เพียงพอสำหรับการซ่อมแซมและจัดซื้ออะไหล่พิเศษจากต่างประเทศ และที่สำคัญ แพ็คเกจนั้นไม่ได้ครอบคลุม “การหยุดชะงักทางธุรกิจ” (Business Interruption) ทำให้ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายคงที่และสูญเสียรายได้มหาศาลในช่วงที่การผลิตหยุดไป

ในทางกลับกัน โรงงานผลิตกระดาษอีกแห่งหนึ่งตัดสินใจลงทุนกับการทำประกันภัยแบบเฉพาะเจาะจง โดยให้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาประเมินความเสี่ยงอย่างละเอียดทุกขั้นตอน และได้ออกแบบกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย, ประกันเครื่องจักรแบบ All Risks, และที่สำคัญคือมีการทำประกันภัยการหยุดชะงักทางธุรกิจ (Business Interruption Insurance) ด้วยวงเงินที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายและผลกำไรที่คาดว่าจะได้รับ เมื่อเกิดเหตุการณ์เครื่องจักรสำคัญขัดข้อง ประกันที่ทำไว้ได้เข้ามาช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ไม่เพียงแต่ค่าซ่อมแซมเครื่องจักรเท่านั้น แต่ยังชดเชยการสูญเสียรายได้และค่าใช้จ่ายคงที่ทั้งหมดในช่วงที่โรงงานหยุดการผลิต ทำให้สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วและไม่กระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินมากนัก

ดังนั้น สำหรับธุรกิจโรงงานอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง การเลือกซื้อประกันแบบแพ็คเกจอาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดเสมอไป การพิจารณาแยกซื้อประกันภัยประเภทต่างๆ โดยปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจบริบทและความเสี่ยงเฉพาะของธุรกิจอย่างลึกซึ้ง จะช่วยให้ได้รับความคุ้มครองที่ตรงจุด, คุ้มค่า, และมีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งจะช่วยปกป้องธุรกิจได้อย่างแท้จริงในยามที่เกิดวิกฤต

สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารที่ต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงและการประกันภัยที่เหมาะสมกับธุรกิจโดยเฉพาะ สามารถติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง เพียงเพิ่มเพื่อนทาง LINE: @siamadvicefirm

Leave a Comment