การคำนวณกำไรขั้นต้น (Gross Profit) สำหรับประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก (BI): ข้อแตกต่างจากหลักการทางบัญชี

สำหรับธุรกิจในอุตสาหกรรมการผลิตที่มีความเสี่ยงสูง กรณีที่น่าเสียดายที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งคือการที่ธุรกิจต้องเผชิญกับหายนะทางการเงิน ไม่ใช่เพราะไม่มีประกันภัย แต่เป็นเพราะมีประกันภัยไม่เพียงพอหรือเข้าใจผิดในเงื่อนไขพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการคำนวณ “กำไรขั้นต้น” สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก (Business Interruption – BI) การนำตัวเลขกำไรขั้นต้นจากงบกำไรขาดทุนของฝ่ายบัญชีมาใช้เป็นฐานในการคำนวณทุนประกันภัย BI นั้น คือความเข้าใจผิดที่อันตรายและเป็นหลุมพรางที่สามารถส่งผลกระทบร้ายแรงต่อธุรกิจได้หลังเกิดเหตุไม่คาดฝัน

เหตุใด “กำไรขั้นต้น” ทางบัญชีจึงไม่เพียงพอต่อการประกันภัย BI?

เหตุผลหลักที่ทำให้การตีความ “กำไรขั้นต้น” ของนักบัญชีแตกต่างจากการประกันภัย BI อย่างสิ้นเชิง อยู่ที่วัตถุประสงค์ของการคำนวณ สำหรับนักบัญชี “กำไรขั้นต้น” คือรายได้จากการขายหักต้นทุนขาย ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การประเมินประสิทธิภาพการผลิต แต่สำหรับกรมธรรม์ประกันภัย BI นั้น วัตถุประสงค์คือ การทำให้ธุรกิจกลับมาอยู่ในสถานะทางการเงินเดียวกับที่ควรจะเป็น หากไม่มีเหตุการณ์ความเสียหายเกิดขึ้น นี่หมายถึงการครอบคลุม “กำไรสุทธิ” ที่จะเสียไป รวมถึง “ค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่ยังคงต้องจ่าย” (Standing Charges หรือ Fixed Costs) แม้ว่าการผลิตจะหยุดชะงักลงก็ตาม

หากโรงงานหยุดผลิตกะทันหัน สิ่งที่สามารถประหยัดได้ทันทีคือต้นทุนผันแปร (Variable Costs) เช่น วัตถุดิบ หรือค่าไฟฟ้าที่ใช้ในการผลิต แต่ในขณะเดียวกัน ยังคงต้องจ่ายค่าใช้จ่ายคงที่ (Fixed Costs) เช่น ค่าเช่าโรงงาน, เงินเดือนพนักงานฝ่ายบริหาร, หรือค่าดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะยังคงเกิดขึ้นไม่ว่าโรงงานจะผลิตสินค้าได้หรือไม่ และนี่คือหัวใจสำคัญของประกันภัย BI ที่งบการเงินทางบัญชีไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อวิเคราะห์ในบริบทนี้

ความแตกต่างที่สำคัญคือ “ค่าใช้จ่ายที่ยังต้องจ่าย” และ “ค่าใช้จ่ายที่ประหยัดได้”

ในมุมมองของประกันภัย BI “Gross Profit” จึงหมายถึง “รายได้รวมที่ลดลง” (Reduction in Turnover) หักด้วย “ค่าใช้จ่ายผันแปรที่ประหยัดได้” (Uninsured Working Expenses) ซึ่งโดยทั่วไป ค่าใช้จ่ายผันแปรเหล่านี้จะประกอบด้วย ค่าวัตถุดิบ, ค่าบรรจุภัณฑ์, และค่าสาธารณูปโภคที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการผลิต ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามปริมาณการผลิต เช่น เงินเดือนฝ่ายบริหาร, ค่าเสื่อมราคา, หรือค่าเช่า ถือเป็น “Standing Charges” ที่ประกันภัย BI มีหน้าที่ต้องชดเชยให้ เพื่อให้ธุรกิจยังสามารถดำรงอยู่ได้จนกว่าจะฟื้นตัว

กรณีศึกษา: บทเรียนจากความเข้าใจผิดเรื่องกำไรขั้นต้น

โรงงานผลิตยางพาราแห่งหนึ่งทำประกันภัย BI โดยใช้ตัวเลข “กำไรขั้นต้น” ตามงบการเงินที่นักบัญชีจัดทำ วันหนึ่งเกิดเหตุเพลิงไหม้รุนแรง ทำให้การผลิตหยุดชะงักไปนานถึง 8 เดือน ในช่วงเวลานั้น พบว่าค่าใช้จ่ายที่ยังคงเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือนพนักงานประจำ, ค่าผ่อนเครื่องจักร, หรือค่าดอกเบี้ยเงินกู้ มีจำนวนมหาศาล เกินกว่าเงินที่ประกัน BI ชดเชยให้จากตัวเลข “กำไรขั้นต้น” ที่ใช้เป็นฐานการคำนวณในกรมธรรม์มากนัก เงินประกันที่ได้รับนั้นแทบไม่พอจ่ายค่าใช้จ่ายคงที่ต่อเดือน ท้ายที่สุด โรงงานต้องกู้เงินเพิ่มและใช้เวลากว่าสองปีในการฟื้นตัวจากผลกระทบทางการเงินที่หนักหนาสาหัส

บทเรียนสำคัญจากกรณีนี้คือ ตัวเลข “Gross Profit” ที่ถูกต้องสำหรับการประกันภัย BI ควรจะสะท้อนถึง ผลรวมของกำไรสุทธิที่คาดว่าจะได้รับ บวกด้วย ค่าใช้จ่ายคงที่ทั้งหมดที่ยังคงต้องจ่ายแม้ธุรกิจจะหยุดชะงัก นี่คือการคำนวณที่แท้จริงที่จะช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดได้ในช่วงวิกฤต

สรุป: การป้องกันธุรกิจให้ถูกจุด

การคำนวณ “Gross Profit” สำหรับประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก (BI) ไม่ใช่เรื่องของบัญชี แต่เป็นเรื่องของการบริหารความเสี่ยงทางการเงินที่สำคัญที่สุด การประเมินทุนประกันภัย BI ที่ไม่ถูกต้อง ไม่ได้หมายถึงการประหยัดเบี้ยประกัน แต่หมายถึงการเปิดประตูให้ธุรกิจต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่จะล้มละลายเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นจริง การป้องกันที่ดีที่สุดคือการทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและวางแผนอย่างรอบคอบ

สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารที่ต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงและการประกันภัยที่เหมาะสมกับธุรกิจโดยเฉพาะ สามารถติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง เพียงเพิ่มเพื่อนทาง LINE: @siamadvicefirm

Leave a Comment