กรณีศึกษาการเรียกร้องสินไหมทดแทนประกันอัคคีภัยที่เกิดจากผู้รับเหมาภายนอก

กรณีศึกษาการเรียกร้องสินไหมทดแทนประกันอัคคีภัยที่เกิดจากผู้รับเหมาภายนอก

เหตุการณ์อัคคีภัยในโรงงานอุตสาหกรรม บ่อยครั้งมีต้นเพลิงที่ไม่ได้มาจากความผิดพลาดภายในองค์กรเอง แต่กลับมาจากผู้รับเหมาภายนอกที่เข้ามาปฏิบัติงานภายในพื้นที่ การที่อัคคีภัยเกิดจากบุคคลที่สามมักนำมาซึ่งความซับซ้อนในการเรียกร้องสินไหมทดแทน (การเคลม) อย่างที่หลายฝ่ายอาจคาดไม่ถึง การบริหารจัดการความเสี่ยงด้านนี้จึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญอย่างละเอียด ไม่ใช่เพียงแค่การมีประกันภัยแล้วจะครอบคลุมทุกสถานการณ์

ความเสี่ยงที่มักถูกมองข้าม: เมื่อผู้รับเหมาคือผู้ก่อเหตุโดยไม่ตั้งใจ

โดยทั่วไป โรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงอย่างโรงงานผลิตพลาสติก, ยาง, ไม้, หรือกระดาษ ย่อมตระหนักถึงความเสี่ยงจากอัคคีภัยเป็นอย่างดี แต่ยังมีช่องโหว่สำคัญที่มักถูกละเลย นั่นคือความเสี่ยงที่เกิดจากผู้รับเหมาภายนอก

เหตุผลหลักที่ผู้รับเหมาภายนอกเป็นความเสี่ยงที่ซ่อนเร้น ได้แก่:

  • ความไม่คุ้นเคยกับพื้นที่และความเสี่ยงเฉพาะ: ผู้รับเหมาอาจไม่เข้าใจถึงลักษณะการวางผังโรงงาน, จุดที่เก็บสารไวไฟ, หรือกระบวนการผลิตที่ละเอียดอ่อน ซึ่งแตกต่างจากพนักงานภายใน
  • มาตรฐานความปลอดภัยที่แตกต่าง: มาตรฐานความปลอดภัยของผู้รับเหมาอาจไม่สอดคล้องหรือเข้มงวดเท่ามาตรฐานของโรงงาน โดยเฉพาะงานที่มีความเสี่ยงสูง เช่น งานเชื่อม, ตัด, หรือการทำงานกับระบบไฟฟ้า อาจก่อให้เกิดประกายไฟหรือความร้อนที่คาดไม่ถึง
  • ความประมาทเลินเล่อ: ความประมาทเล็กน้อยสามารถนำไปสู่ความเสียหายรุนแรงได้ โดยเฉพาะเมื่อทำงานในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยเชื้อเพลิง
  • การควบคุมที่จำกัด: การควบคุมการทำงานของผู้รับเหมาไม่สามารถทำได้ 100% เหมือนพนักงานภายใน ซึ่งทำให้การกำกับดูแลเป็นไปได้ยากกว่า

ความซับซ้อนของการเรียกร้องสินไหมทดแทนเมื่ออัคคีภัยเกิดจากผู้รับเหมา

เมื่อเกิดเหตุอัคคีภัยที่ต้นเพลิงมาจากผู้รับเหมาภายนอก ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่ามีประกันภัยหรือไม่ แต่อยู่ที่ใครคือผู้รับผิดชอบ และประกันภัยจะครอบคลุมอะไรบ้าง:

ประการแรกคือ การพิสูจน์ความรับผิดชอบ: บริษัทประกันภัยจะทำการตรวจสอบอย่างละเอียดว่าต้นเพลิงเกิดจากความประมาทเลินเล่อของผู้รับเหมาหรือไม่ หากใช่ ผู้รับเหมาจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ และบริษัทประกันภัยของผู้ว่าจ้าง (ซึ่งจ่ายค่าเสียหายให้โรงงานไปแล้ว) จะมีสิทธิ์ไปใช้สิทธิ์ไล่เบี้ย (Subrogation) จากผู้รับเหมาหรือบริษัทประกันภัยของผู้รับเหมาต่อไป กระบวนการนี้อาจใช้เวลานานและเกี่ยวข้องกับการดำเนินการทางกฎหมาย

ประการต่อมาคือ วงเงินคุ้มครองและประเภทกรมธรรม์ของผู้รับเหมา: บ่อยครั้งที่ผู้รับเหมาขนาดเล็กหรือกลางมีกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอก (Public Liability Insurance) แต่มีวงเงินคุ้มครองที่ต่ำมาก ไม่เพียงพอที่จะชดเชยความเสียหายมหาศาลที่เกิดขึ้นกับโรงงาน หรือบางรายอาจไม่มีประกันภัยประเภทนี้เลย หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น โรงงานอาจต้องแบกรับส่วนต่างของความเสียหาย หรือฟ้องร้องผู้รับเหมาโดยตรง ซึ่งเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูง

กรณีศึกษา: บทเรียนจากเถ้าถ่าน

โรงงานผลิตเม็ดพลาสติกแห่งหนึ่งว่าจ้างผู้รับเหมาให้เข้ามาติดตั้งระบบระบายอากาศใหม่บนหลังคา ระหว่างการทำงาน ผู้รับเหมาได้ใช้เครื่องเชื่อมโลหะโดยไม่ได้ระมัดระวังประกายไฟอย่างเพียงพอ ประกายไฟบางส่วนปลิวไปตกยังกองเศษพลาสติกด้านล่าง ทำให้เกิดเพลิงไหม้ลุกลามอย่างรวดเร็ว โรงงานได้รับความเสียหายอย่างหนักทั้งอาคารและเครื่องจักร มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 80 ล้านบาท

เมื่อเข้าสู่กระบวนการเรียกร้องสินไหม ทรัพย์สินของโรงงานอยู่ในความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สิน (Property All Risks) บริษัทประกันภัยจึงเข้ามาประเมินและชดเชยค่าเสียหายให้ แต่ในระหว่างการสอบสวน พบว่าต้นตอมาจากความประมาทของผู้รับเหมา สิ่งที่ตามมาคือการที่บริษัทประกันภัยของโรงงานต้องใช้สิทธิ์ไล่เบี้ยจากผู้รับเหมา ปรากฏว่าผู้รับเหมารายนี้มีกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอกจริง แต่วงเงินคุ้มครองเพียงแค่ 5 ล้านบาทเท่านั้น ซ้ำร้าย หลังจากเกิดเหตุ บริษัทผู้รับเหมาก็ประสบปัญหาทางการเงินและปิดกิจการไป ทำให้การไล่เบี้ยเป็นไปได้ยาก และส่วนที่เหลือของความเสียหายที่เกินวงเงินของผู้รับเหมาก็กลายเป็นภาระที่โรงงานต้องแบกรับเอง

บทเรียนที่สำคัญ: ความเข้าใจที่เหนือกว่าแค่กรมธรรม์

จากกรณีศึกษาเหล่านี้ บทเรียนที่สำคัญที่สุดคือ การมีประกันภัยทรัพย์สินเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอสำหรับธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงและมีการทำงานร่วมกับผู้รับเหมาภายนอกอยู่เสมอ สิ่งที่จำเป็นยิ่งกว่าคือการมี “ความเข้าใจ” และ “การบริหารความเสี่ยงเชิงรุก”

การป้องกันความเสี่ยงและเตรียมพร้อมรับมือกับการเรียกร้องสินไหมที่ซับซ้อนนั้นต้องเริ่มต้นตั้งแต่การคัดเลือกผู้รับเหมา, การทำสัญญาที่รัดกุม, การระบุข้อตกลงเรื่องความรับผิดชอบ, และการตรวจสอบกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดของผู้รับเหมาอย่างละเอียด หากเป็นไปได้ ควรบังคับให้ผู้รับเหมาจัดทำประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอกที่มีวงเงินคุ้มครองสูงเพียงพอและระบุให้โรงงานเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพิ่มเติม (Additional Insured) ในกรมธรรม์ของพวกเขา

สุดท้ายแล้ว การเลือกกรมธรรม์ประกันภัยที่เหมาะสม ไม่ใช่เพียงการพิจารณาเบี้ยประกันที่ถูกที่สุด แต่เป็นการเลือกที่ปรึกษาที่เข้าใจธุรกิจอย่างลึกซึ้ง และสามารถแนะนำโซลูชันประกันภัยที่ตอบโจทย์ความเสี่ยงเฉพาะหน้าได้อย่างครอบคลุม ทั้งความเสียหายทางกายภาพ, ธุรกิจหยุดชะงัก, และความรับผิดชอบที่อาจเกิดขึ้นกับบุคคลที่สาม

สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารที่ต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงและการประกันภัยที่เหมาะสมกับธุรกิจโดยเฉพาะ สามารถติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง เพียงเพิ่มเพื่อนทาง LINE: @siamadvicefirm

Leave a Comment