การประเมินเบี้ยประกันภัย: ความเสี่ยงของความคุ้มครองราคาถูกสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม

สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง เช่น พลาสติก, ยาง, ไม้, และกระดาษ การตัดสินใจเลือกเบี้ยประกันที่ถูกที่สุดโดยไม่พิจารณาถึงความคุ้มครองที่แท้จริง คือหนึ่งในกับดักที่อันตรายที่สุดที่สามารถนำพาธุรกิจไปสู่การล้มละลายได้โดยไม่ทันตั้งตัว

ปรากฏการณ์นี้เกิดจากเรื่องของ “มูลค่า” ที่ถูกบิดเบือนด้วย “ราคา” ผู้ประกอบการหลายท่านมองประกันภัยเป็น “ค่าใช้จ่าย” ที่ต้องควบคุมและลดให้ได้มากที่สุด แทนที่จะมองเป็น “การลงทุน” ในความมั่นคงและหลักประกันของธุรกิจ ประกันภัยที่ดีไม่ใช่แค่เอกสารสัญญา แต่คือเกราะป้องกันที่ต้องแข็งแกร่งและครอบคลุมเพียงพอต่อความเสี่ยงเฉพาะของโรงงาน เบี้ยประกันที่ถูกมักจะแลกมาด้วยช่องโหว่ขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นในกรมธรรม์ ซึ่งจะปรากฏขึ้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องการมากที่สุด

ประการแรก เบี้ยประกันราคาถูกมักจะมาพร้อมกับ ขอบเขตความคุ้มครองที่จำกัด หรือ ข้อยกเว้น จำนวนมากที่ซ่อนอยู่ในรายละเอียดปลีกย่อย เช่น โรงงานพลาสติกที่ใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่มูลค่าหลายสิบล้านบาท หากเลือกประกันเครื่องจักรที่ถูกที่สุด อาจพบว่ากรมธรรม์นั้นไม่คุ้มครองความเสียหายจากการหยุดชะงักของธุรกิจ (Business Interruption) ที่เกิดจากการซ่อมบำรุงเครื่องจักรนานนับเดือน เมื่อเกิดเหตุขึ้น โรงงานอาจได้รับค่าซ่อมแซมเครื่องจักรเพียงบางส่วน แต่รายได้ที่หายไปจากการผลิตที่หยุดชะงักนั้น กลับไม่ได้รับการชดเชยเลย

ประการที่สอง เบี้ยประกันที่ต่ำผิดปกติ อาจสะท้อนถึงการประเมินความเสี่ยงที่ไม่ครอบคลุม หรือการที่บริษัทประกันภัยไม่ได้เข้าใจลักษณะธุรกิจและความเสี่ยงเฉพาะอย่างถ่องแท้ โรงงานแปรรูปไม้มีความเสี่ยงเรื่องอัคคีภัยจากประกายไฟและฝุ่นไม้สูง การที่บริษัทประกันเสนอเบี้ยที่ถูกกว่า อาจหมายถึงพวกเขาไม่ได้ประเมินความเสี่ยงเฉพาะเหล่านี้อย่างเพียงพอ ทำให้เบี้ยดูเหมือนจะถูก แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น บริษัทประกันอาจปฏิเสธการจ่ายเงินเคลมโดยอ้างอิงจากข้อยกเว้นที่ระบุไว้

กรณีศึกษา: บทเรียนจากเบี้ยประกันราคาถูก

โรงงานยางรถยนต์ขนาดกลางแห่งหนึ่งซึ่งเคยทำประกันอัคคีภัยและประกันเครื่องจักรแบบเบี้ยประหยัดมาตลอดหลายปี จนกระทั่งวันหนึ่ง เกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่จากไฟฟ้าลัดวงจร ซึ่งลุกลามอย่างรวดเร็วจนสร้างความเสียหายเกือบทั้งสายการผลิต

เมื่อถึงเวลาเรียกร้องสินไหม บริษัทประกันภัยอ้างว่ากรมธรรม์ที่ทำไว้มีวงเงินความคุ้มครองต่ำกว่ามูลค่าทรัพย์สินที่แท้จริงอย่างมาก อีกทั้งยังมีข้อยกเว้นเรื่องการบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าที่ไม่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้ ประกันภัยการหยุดชะงักของธุรกิจที่ทำไว้ ก็มีวงเงินชดเชยที่จำกัดมาก เพียงแค่ 60 วัน ทั้งที่ความเป็นจริง การฟื้นฟูโรงงานต้องใช้เวลากว่า 8 เดือน ผลลัพธ์คือ โรงงานได้รับเงินชดเชยมาเพียงน้อยนิด ไม่เพียงพอแม้แต่ค่าซ่อมแซมส่วนสำคัญ และไม่มีเงินทุนหมุนเวียนสำหรับค่าใช้จ่ายในช่วงที่โรงงานหยุดผลิต สุดท้ายโรงงานต้องแบกรับภาระหนี้สินมหาศาลและจำเป็นต้องปิดกิจการลง

ดังนั้น การเลือกเบี้ยประกันที่ถูกที่สุดจึงไม่ใช่ความชาญฉลาด แต่คือการเดิมพันกับอนาคตของธุรกิจทั้งหมด ประกันภัยที่แท้จริงคือการลงทุนเพื่อซื้อความมั่นใจและความต่อเนื่องทางธุรกิจ เพื่อให้โรงงานสามารถฟื้นตัวกลับมาได้แม้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด อย่าปล่อยให้จิตวิทยาของเบี้ยประกันราคาถูกมาบดบังวิสัยทัศน์และนำพาธุรกิจไปสู่จุดจบที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น

สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารที่ต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงและการประกันภัยที่เหมาะสมกับธุรกิจโดยเฉพาะ สามารถติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง เพียงเพิ่มเพื่อนทาง LINE: @siamadvicefirm

Leave a Comment