
สำหรับโรงงานอุตสาหกรรม การให้ความสำคัญกับความเสี่ยงเรื่องอัคคีภัยเป็นอันดับแรกถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ยังมีภัยเงียบอีกประการหนึ่งที่น่ากลัวไม่แพ้กันและมักถูกมองข้าม นั่นคือ ความเสี่ยงด้านประกันภัยสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มโรงงานแปรรูปไม้ที่ใช้สารเคมีสำหรับอาบน้ำยาไม้ ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของค่าปรับหรือภาพลักษณ์ แต่หมายถึงภาระทางการเงินที่อาจประเมินค่ามิได้ และอาจทำให้ธุรกิจต้องปิดตัวลง
ประกันภัยแบบดั้งเดิมส่วนใหญ่ ไม่ได้ครอบคลุมความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมจากการปนเปื้อนสารเคมี และนี่คือช่องว่างสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจอย่างจริงจัง
ธรรมชาติของความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมนั้นแตกต่างจากความเสียหายจากอัคคีภัยโดยสิ้นเชิง ในโรงงานแปรรูปไม้ที่ใช้สารเคมีสำหรับอาบน้ำยา เช่น น้ำยาป้องกันปลวก, เชื้อรา, หรือสารหน่วงไฟ สารเคมีเหล่านี้มักเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม การรั่วไหลเพียงเล็กน้อย หรือการปนเปื้อนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง (Gradual Pollution) อาจไม่ถูกตรวจพบในทันที แต่เมื่อสะสมไปเรื่อยๆ จะกลายเป็นปัญหาใหญ่หลวง
เหตุผลที่ความเสี่ยงนี้น่ากังวลมีดังนี้: ประการแรกคือ ข้อกฎหมายและกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะ พ.ร.บ. ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่กำหนดให้ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการบำบัด, ฟื้นฟู, และเยียวยาความเสียหาย ไม่ว่าการปนเปื้อนนั้นจะเกิดจากอุบัติเหตุหรือความประมาทเลินเล่อก็ตาม ประการที่สองคือ ลักษณะของสารเคมีและวงจรการปนเปื้อน สารเคมีที่ซึมลงดินอาจใช้เวลาหลายปีกว่าจะแพร่กระจายไปถึงแหล่งน้ำใต้ดิน เมื่อน้ำปนเปื้อนถูกตรวจพบ ความเสียหายจะขยายวงกว้างออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการปนเปื้อนแหล่งน้ำดื่มของชุมชน, ทำลายระบบนิเวศ, หรือส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ประการสุดท้ายคือ การยกเว้นความคุ้มครองในกรมธรรม์ประกันภัยทั่วไป กรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินหรือประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอกส่วนใหญ่ มักมีข้อยกเว้นสำหรับ “มลภาวะ” (Pollution Exclusion) นั่นหมายความว่า หากเกิดเหตุสารเคมีรั่วไหลและก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม ผู้ประกอบการจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดด้วยตนเอง
กรณีศึกษา: ภาระค่าใช้จ่ายจากการปนเปื้อน
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน สามารถพิจารณาจากกรณีที่โรงงานแห่งหนึ่งมีการจัดเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงในถังใต้ดิน วันหนึ่งตรวจพบว่ามีน้ำมันรั่วซึมออกจากถังอย่างช้าๆ เป็นระยะเวลานานหลายเดือน กว่าจะตรวจพบ น้ำมันได้ซึมลงดินและปนเปื้อนแหล่งน้ำใต้ดินในบริเวณใกล้เคียง เมื่อเรื่องถึงหน่วยงานราชการ โรงงานต้องเผชิญกับภาระมหาศาล:
- ค่าใช้จ่ายในการสำรวจและประเมินความเสียหาย
- ค่าใช้จ่ายในการบำบัดและฟื้นฟู: ซึ่งอาจใช้เวลาและงบประมาณเป็นหลักสิบล้านหรือหลักร้อยล้านบาท
- ค่าปรับและบทลงโทษทางกฎหมาย
- ค่าชดเชยและค่าเยียวยา: หากมีชุมชนได้รับผลกระทบ
- ความเสียหายต่อชื่อเสียงและภาพลักษณ์
ในกรณีโรงงานอาบน้ำยาไม้ หากเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นถังเก็บสารเคมีรั่วซึม, อุบัติเหตุขณะขนถ่ายสาร, หรือแม้แต่การเกิดไฟไหม้ที่ทำให้สารเคมีปนเปื้อนไปกับน้ำดับเพลิง สิ่งที่ตามมาคือความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมที่ใหญ่หลวงกว่าที่คาดคิด ซึ่งประกันภัยทั่วไปไม่สามารถช่วยแบ่งเบาภาระนี้ได้เลย
ดังนั้น การมี ประกันภัยความรับผิดต่อสิ่งแวดล้อม หรือ Environmental Impairment Liability (EIL) Insurance จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับโรงงานที่ต้องจัดการกับสารเคมี โดยเฉพาะโรงงานอาบน้ำยาไม้ที่ความเสี่ยงเรื่องการปนเปื้อนสารเคมีนั้นสูงกว่าธุรกิจทั่วไป ประกันภัยประเภทนี้จะช่วยปกป้องธุรกิจจากค่าใช้จ่ายมหาศาลที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ปนเปื้อนสิ่งแวดล้อม ซึ่งรวมถึงค่าบำบัดฟื้นฟู, ค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย, และค่าชดเชยต่างๆ การลงทุนในประกันภัย EIL ไม่ใช่แค่การปฏิบัติตามกฎหมาย แต่เป็นการลงทุนเพื่อความมั่นคงและยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว
สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารที่ต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงและการประกันภัยที่เหมาะสมกับธุรกิจโดยเฉพาะ สามารถติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง เพียงเพิ่มเพื่อนทาง LINE: @siamadvicefirm