
สำหรับธุรกิจโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะโรงงานเฟอร์นิเจอร์ หนึ่งในจุดอ่อนสำคัญที่มักถูกมองข้ามในการบริหารความเสี่ยง คือเรื่องของการประเมินมูลค่าสต็อกสินค้าสำเร็จรูปเพื่อวัตถุประสงค์ด้านประกันภัย การประเมินมูลค่าสต็อกเฟอร์นิเจอร์สำเร็จรูปนั้น ไม่ใช่แค่การคำนวณจากราคาวัตถุดิบอย่างไม้เพียงอย่างเดียว แต่มันคือการประเมิน “มูลค่าทดแทนที่แท้จริง” ซึ่งมีความซับซ้อน และมักเป็นจุดที่ทำให้โรงงานส่วนใหญ่ประเมินมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริงจนเกิดปัญหาเมื่อต้องเรียกร้องสินไหมทดแทน
การมองแค่ราคาวัตถุดิบต้นทุน ไม่ได้สะท้อนถึงมูลค่าที่แท้จริงของสินค้าที่สร้างเสร็จแล้ว เฟอร์นิเจอร์หนึ่งชิ้นกว่าจะออกจากสายการผลิตไปสู่โกดัง ได้ผ่านกระบวนการมากมาย เริ่มตั้งแต่ค่าวัตถุดิบต่างๆ เช่น ไม้, ตะปู, น็อต, กาว, สี, แลคเกอร์ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ “ค่าใช้จ่ายแฝง” ที่มักถูกมองข้ามไป
ค่าใช้จ่ายแฝงเหล่านี้ประกอบด้วย:
- ค่าแรงของช่างฝีมือในแต่ละขั้นตอน (ตัด, เจาะ, ประกอบ, ขัดเงา, ทำสี, ตรวจสอบคุณภาพ)
- ค่าไฟฟ้าที่ใช้ในการเดินเครื่องจักร
- ค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิต
- ค่าออกแบบและวิจัยผลิตภัณฑ์
- ค่าใช้จ่ายในการควบคุมคุณภาพ (QC)
- ค่าบรรจุภัณฑ์
- ค่าขนส่งวัตถุดิบเข้าสู่โรงงาน (Inbound Logistics)
- ค่าโสหุ้ยต่างๆ ในการบริหารจัดการโรงงาน
ทุกองค์ประกอบเหล่านี้ล้วนถูกผนวกเข้าไปในมูลค่าของเฟอร์นิเจอร์สำเร็จรูปแต่ละชิ้น หากประเมินมูลค่าสต็อกตามราคาวัตถุดิบเพียงอย่างเดียว เท่ากับว่ากำลังละเลยต้นทุนที่แท้จริงเหล่านี้ไปอย่างสิ้นเชิง และนี่คือความเสี่ยงที่สำคัญ
กรณีศึกษา: บทเรียนจากการประเมินมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง
โรงงานเฟอร์นิเจอร์ไม้แห่งหนึ่ง มีนโยบายประเมินมูลค่าสต็อกสินค้าสำเร็จรูปเพื่อการประกันภัยอัคคีภัย โดยใช้หลักการคิดจากราคาต้นทุนวัตถุดิบไม้เป็นหลัก มูลค่าสต็อกที่แจ้งไว้กับบริษัทประกันภัยคือ 50 ล้านบาท ตามราคาไม้ที่ใช้ผลิตเท่านั้น
ต่อมาเกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในคลังสินค้า สต็อกเฟอร์นิเจอร์สำเร็จรูปจำนวนมากเสียหายทั้งหมด เมื่อถึงขั้นตอนการยื่นเรียกร้องสินไหม บริษัทประกันภัยได้เข้ามาตรวจสอบและประเมินความเสียหาย โรงงานสามารถแสดงหลักฐานมูลค่าของไม้ที่ใช้ผลิตได้ที่ 50 ล้านบาทตามที่แจ้งไว้ แต่เมื่อทีมประเมินของบริษัทประกันภัย ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญด้านต้นทุนการผลิตเข้าร่วมด้วย ได้ทำการประเมิน “มูลค่าทดแทน” ของสินค้าที่เสียหายทั้งหมด พบว่าต้นทุนการผลิตที่แท้จริงของเฟอร์นิเจอร์เหล่านั้น ซึ่งรวมค่าแรง, ค่าไฟฟ้า, ค่าเสื่อมเครื่องจักร, ค่าบรรจุภัณฑ์, และค่าใช้จ่ายอื่นๆ แล้ว กลับสูงถึง 80 ล้านบาท
ผลที่ตามมาคือ บริษัทประกันภัยต้องนำ “เงื่อนไขการเฉลี่ย” (Average Clause) มาใช้ เพราะมูลค่าที่เอาประกันภัย (50 ล้านบาท) ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (80 ล้านบาท) ทำให้เงินสินไหมที่โรงงานได้รับถูกปรับลดลงตามสัดส่วน โรงงานต้องแบกรับภาระส่วนต่างมหาศาลนี้เอง ซึ่งสูงถึงหลายสิบล้านบาท ทำให้การฟื้นฟูธุรกิจเป็นไปอย่างยากลำบาก เพียงเพราะการประเมินมูลค่าสต็อกที่ผิดพลาดตั้งแต่แรก
จากกรณีนี้ ข้อคิดสำคัญสำหรับผู้ประกอบการคือ การประเมินมูลค่าสต็อกสินค้าสำเร็จรูปเพื่อวัตถุประสงค์ประกันภัยนั้น ไม่ใช่แค่การตีราคาจากวัตถุดิบ แต่คือการประเมิน “มูลค่าที่แท้จริงของการผลิตซ้ำ” หากต้องผลิตเฟอร์นิเจอร์ชิ้นนั้นขึ้นมาใหม่ทั้งหมด จะต้องใช้ต้นทุนเท่าไหร่? นี่คือมุมมองที่ถูกต้องและจำเป็นอย่างยิ่งในการคำนวณ ไม่ว่าจะเป็นโรงงานเฟอร์นิเจอร์, โรงงานยาง, โรงงานพลาสติก, หรือโรงงานกระดาษ หลักการนี้ใช้ได้เหมือนกันทั้งหมด เพราะทุกผลิตภัณฑ์ล้วนมีมูลค่าเพิ่มจากกระบวนการผลิตที่ต้องนำมาพิจารณาอย่างรอบด้านเสมอ การทำความเข้าใจในจุดนี้จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน ธุรกิจจะได้รับการคุ้มครองอย่างเต็มที่ สามารถกลับมาดำเนินงานได้โดยไม่สะดุด และไม่ประสบปัญหาทางการเงินจากช่องว่างของการประกันภัยที่ไม่ได้เตรียมการไว้
สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารที่ต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงและการประกันภัยที่เหมาะสมกับธุรกิจโดยเฉพาะ สามารถติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง เพียงเพิ่มเพื่อนทาง LINE: @siamadvicefirm