
สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง “ต้นทุนที่แท้จริงของความปลอดภัย” เป็นประเด็นที่มักถูกเข้าใจคลาดเคลื่อน หลายคนเข้าใจว่าความปลอดภัยคือการซื้ออุปกรณ์ป้องกันอันตรายมาติดตั้ง หรือการจ่ายเบี้ยประกันภัยรายปีเพื่อโอนความเสี่ยง แต่แท้จริงแล้ว นั่นเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของต้นทุนความปลอดภัยที่มองเห็นได้ง่าย สิ่งที่สำคัญกว่านั้นและมักถูกละเลยจนกลายเป็นความเสี่ยงทางการเงิน คือ “ค่าบำรุงรักษาอุปกรณ์ป้องกันภัย” ซึ่งท้ายที่สุดแล้วส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงของธุรกิจและประสิทธิภาพของการประกันภัยที่มีอยู่
เหตุผลที่ต้นทุนส่วนนี้มักถูกมองข้ามคือการที่ธุรกิจมักให้ความสำคัญกับการผลิตและการลดต้นทุนในส่วนที่มองเห็นได้ชัดเจนมากกว่า การลงทุนในเครื่องจักรใหม่มักจะได้รับงบประมาณมากกว่าการตรวจสอบและบำรุงรักษาอุปกรณ์ป้องกันภัยที่ไม่ได้สร้างผลผลิตโดยตรง หลายครั้งผู้บริหารมองว่าอุปกรณ์เหล่านี้เป็นเพียงค่าใช้จ่ายสิ้นเปลือง ไม่ใช่การลงทุน ทำให้การจัดสรรงบประมาณสำหรับการบำรุงรักษาเป็นไปอย่างจำกัด นอกจากนี้ การขาดความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับข้อกำหนดทางกฎหมายและเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับการบำรุงรักษาก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้มองข้ามความสำคัญไป
ในความเป็นจริง ต้นทุนแฝงเหล่านี้ครอบคลุมตั้งแต่การตรวจสอบ, การสอบเทียบ (Calibration), การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance), การเปลี่ยนอะไหล่ที่เสื่อมสภาพ, ไปจนถึงการฝึกอบรมพนักงานให้ใช้งานและดูแลอุปกรณ์ได้อย่างถูกต้อง การละเลยค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไม่เพียงแต่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อสถานะความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัย เพราะบริษัทประกันภัยมักมีเงื่อนไขที่ระบุให้ผู้เอาประกันต้องดูแลและบำรุงรักษาสภาพความปลอดภัยของทรัพย์สินตามมาตรฐานที่กำหนด หากเกิดเหตุการณ์ความเสียหายขึ้นและสืบทราบว่าเกิดจากการละเลยการบำรุงรักษาอุปกรณ์ป้องกันภัย บริษัทประกันภัยอาจปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทน หรือจ่ายชดเชยให้ไม่เต็มจำนวนได้
กรณีศึกษา: บทเรียนราคาแพงจากต้นทุนที่ซ่อนอยู่
โรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงจากฝุ่นไม้และความไวไฟ ได้ลงทุนติดตั้งระบบดับเพลิงอัตโนมัติ, สัญญาณเตือนควัน, และถังดับเพลิงไว้อย่างดีเยี่ยมในตอนแรกเริ่ม แต่เมื่อเวลาผ่านไป งบประมาณด้านการบำรุงรักษาถูกตัดลดลงเรื่อยๆ ด้วยเหตุผลว่า “ไม่เคยเกิดอะไรขึ้น” ทำให้การตรวจสอบระบบดับเพลิงไม่สม่ำเสมอ, หัวสปริงเกลอร์บางจุดเกิดการอุดตัน, และถังดับเพลิงหลายใบไม่ได้ถูกนำไปเติมสารเคมีตามกำหนด
เมื่อเกิดประกายไฟเล็กๆ จากเครื่องจักรและเริ่มลุกลามอย่างรวดเร็ว พนักงานพบว่าถังดับเพลิงที่หยิบมาใช้งานนั้นหมดสภาพ ในขณะที่ระบบสปริงเกลอร์อัตโนมัติก็ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้ไฟลุกลามอย่างรุนแรงสร้างความเสียหายมหาศาล โรงงานต้องหยุดการผลิตไปหลายเดือน และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือ เมื่อมีการยื่นเรียกร้องสินไหมทดแทน บริษัทประกันภัยได้ตรวจสอบพบว่าการละเลยการบำรุงรักษาระบบป้องกันภัยเหล่านี้นับเป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขการดูแลทรัพย์สินตามที่ระบุในกรมธรรม์ ทำให้การพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทนใช้เวลานานและมีการหักลดหย่อนความคุ้มครองไปเป็นจำนวนมาก นั่นหมายความว่า โรงงานต้องแบกรับความเสียหายส่วนใหญ่ไว้เอง ทั้งๆ ที่มีประกัน
ดังนั้น การบริหารจัดการความเสี่ยงที่แท้จริง ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การซื้ออุปกรณ์ป้องกันภัยหรือการทำประกันภัยเท่านั้น แต่ยังรวมถึง “วินัยในการบำรุงรักษา” อุปกรณ์เหล่านั้นอย่างสม่ำเสมอและตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งเป็นเสมือนการลงทุนในความต่อเนื่องของธุรกิจ และเป็นหลักประกันว่าเมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้งาน อุปกรณ์เหล่านั้นจะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและกรมธรรม์ประกันภัยจะให้ความคุ้มครองได้อย่างเต็มที่ การมองเห็นต้นทุนการบำรุงรักษาเหล่านี้เป็น “การลงทุน” เพื่อลดความเสี่ยง, เพิ่มความปลอดภัย, และรักษาความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว คือหัวใจสำคัญของการบริหารจัดการความเสี่ยงสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมในยุคปัจจุบัน
สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารที่ต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงและการประกันภัยที่เหมาะสมกับธุรกิจโดยเฉพาะ สามารถติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง เพียงเพิ่มเพื่อนทาง LINE: @siamadvicefirm