การเลือกประเภทกรมธรรม์ความรับผิดจากผลิตภัณฑ์ (Product Liability): Claims-Made และ Occurrence

สำหรับโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มโรงงานพลาสติก, ยาง, ไม้, และกระดาษ การเลือกประเภทพื้นฐานของกรมธรรม์ประกันความรับผิดต่อผลิตภัณฑ์ (Product Liability) ระหว่าง “Claims-Made” กับ “Occurrence” เป็นการตัดสินใจที่เรียบง่ายแต่มีผลลัพธ์ที่ซับซ้อนและยาวนานอย่างคาดไม่ถึง

สำหรับธุรกิจการผลิตส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูง, มีอายุการใช้งานยาวนาน, หรืออาจแสดงข้อบกพร่องล่าช้า การเลือกกรมธรรม์แบบ “Occurrence” คือทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าในระยะยาว แม้ในบางครั้งอาจดูเหมือนมีต้นทุนเริ่มต้นสูงกว่าก็ตาม

เหตุผลเบื้องหลังเกิดจากปรัชญาในการรับผิดชอบความเสียหายที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งส่งผลกระทบที่ซ่อนอยู่

กรมธรรม์แบบ Occurrence Basis ให้ความคุ้มครองความเสียหายที่ “เกิดขึ้น” (occurred) ในช่วงระยะเวลาเอาประกันภัย ไม่ว่าผู้เสียหายจะยื่นเรียกร้องสินไหมเมื่อใดก็ตาม ตัวอย่างเช่น หากสินค้าก่อให้เกิดความเสียหายในปี 2567 และมีการทำกรมธรรม์แบบ Occurrence ในปีนั้น ต่อให้ผู้เสียหายเพิ่งมาเรียกร้องในปี 2575 กรมธรรม์ปี 2567 ก็ยังคงให้ความคุ้มครองอยู่ นี่คือหัวใจสำคัญของการป้องกันความเสี่ยงแบบ “หางยาว” (Long-Tail Risk) ที่พบได้บ่อยในอุตสาหกรรมการผลิต เช่น สารเคมีที่ค่อยๆ สะสมจนเกิดโรค หรือชิ้นส่วนพลาสติกที่เสื่อมสภาพเมื่อเวลาผ่านไป

ในทางตรงกันข้าม กรมธรรม์แบบ Claims-Made Basis จะให้ความคุ้มครองเฉพาะความเสียหายที่ “มีการเรียกร้อง” (claim is made) และ “มีการแจ้งให้บริษัทประกันภัยทราบ” ในช่วงระยะเวลาเอาประกันภัยเท่านั้น นั่นหมายความว่า หากสินค้าก่อให้เกิดความเสียหายในปี 2567 แต่ผู้เสียหายเพิ่งมายื่นเรียกร้องในปี 2575 จะต้องแน่ใจว่ากรมธรรม์ฉบับปัจจุบัน (ปี 2575) ให้ความคุ้มครองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า (ซึ่งระบุด้วยวันย้อนหลัง หรือ Retroactive Date) และยังคงรักษากรมธรรม์แบบ Claims-Made นี้ไว้อย่างต่อเนื่อง หรือได้ซื้อความคุ้มครองแบบขยายระยะเวลาแจ้งเคลม (Extended Reporting Period หรือ “Tail Coverage”) ไว้ หากมีการเปลี่ยนบริษัทประกันภัย, ยกเลิกกรมธรรม์, หรือพลาดการต่ออายุ อาจไม่มีความคุ้มครองสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นในอดีตได้เลย

กรณีศึกษา: บทเรียนจากการเลือกกรมธรรม์ Claims-Made

โรงงานผลิตชิ้นส่วนพลาสติกแห่งหนึ่งผลิตชิ้นส่วนสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้ามาหลายปี และทุกปีได้ต่ออายุประกัน Product Liability แบบ Claims-Made กับบริษัทประกันภัยเดิมตลอดมา จนกระทั่งในปี 2563 ได้ตัดสินใจเปลี่ยนบริษัทประกันภัยเพื่อลดเบี้ยประกันลง โดยกรมธรรม์ใหม่ที่ได้มาก็เป็นแบบ Claims-Made เช่นกัน แต่ด้วยการแข่งขันและข้อเสนอที่เร่งรีบ ทำให้ไม่ได้มีการตรวจสอบอย่างละเอียดว่า “Retroactive Date” ของกรมธรรม์ใหม่ครอบคลุมวันที่เพียงพอ หรือจำเป็นต้องซื้อ “Tail Coverage” จากบริษัทเดิมหรือไม่

หลายปีผ่านไป จนกระทั่งปลายปี 2566 ถึงต้นปี 2567 ลูกค้าจำนวนมากเริ่มร้องเรียนว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้ชิ้นส่วนจากโรงงานนี้ ซึ่งผลิตและจำหน่ายไปตั้งแต่ปี 2561-2562 เริ่มมีปัญหาด้านความปลอดภัยถึงขั้นเกิดอุบัติเหตุ นี่คือ Product Liability Case แบบ “Long-Tail” ของจริง ความเสียหายถูกเรียกร้องเข้ามาเป็นจำนวนมาก

เมื่อโรงงานนำเรื่องเข้าปรึกษาบริษัทประกันภัยรายปัจจุบัน (ปี 2567) กลับได้รับแจ้งว่าไม่คุ้มครอง เพราะตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ Claims-Made ปี 2567 นั้น “Retroactive Date” (วันเริ่มต้นย้อนหลังที่คุ้มครอง) ไม่ครอบคลุมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2561-2562 และที่เลวร้ายกว่านั้นคือ กรมธรรม์ Claims-Made ฉบับเก่า (ที่ซื้อระหว่างปี 2561-2562) ได้สิ้นสุดความคุ้มครองไปแล้ว เนื่องจากไม่ได้มีการซื้อ “Tail Coverage” โรงงานจึงต้องรับผิดชอบค่าเสียหายทั้งหมดด้วยตัวเอง นี่คือบทเรียนราคาแพงที่อาจทำให้ธุรกิจสะดุดไปอีกเป็นสิบปี หรือถึงขั้นล้มละลายได้ เพียงเพราะความเข้าใจที่ไม่ถี่ถ้วนเกี่ยวกับประเภทของกรมธรรม์ที่เลือก

ดังนั้น แม้ข้อมูลเบื้องต้นจะช่วยให้เข้าใจคำจำกัดความของ Claims-Made และ Occurrence ได้ แต่การตัดสินใจเลือกประเภทกรมธรรม์ที่เหมาะสมกับลักษณะธุรกิจการผลิตที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิจารณาถึงความเสี่ยงแบบ “หางยาว” และการวางแผนธุรกิจในระยะยาว จำเป็นต้องอาศัยมุมมองเชิงลึกและประสบการณ์จากที่ปรึกษาที่เข้าใจธุรกิจอย่างแท้จริง เพื่อให้มั่นใจว่าทุกความเสี่ยงได้ถูกบริหารจัดการไว้อย่างรอบคอบ ไม่ใช่แค่การมองหาเบี้ยประกันที่ถูกที่สุดเท่านั้น

สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารที่ต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงและการประกันภัยที่เหมาะสมกับธุรกิจโดยเฉพาะ สามารถติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง เพียงเพิ่มเพื่อนทาง LINE: @siamadvicefirm

Leave a Comment