ความสำคัญของวงเงินจำกัดความรับผิดย่อย (Sub-limits) ในกรมธรรม์ประกันภัยโรงงาน

วงเงินประกันภัยมูลค่าสูงที่ปรากฏบนหน้ากรมธรรม์ อาจไม่ใช่คำตอบทั้งหมดสำหรับความคุ้มครองที่ครอบคลุม ผู้ประกอบการอาจรู้สึกมั่นใจเมื่อเห็นวงเงินประกันภัยมูลค่า 100 ล้านบาท แต่ในความเป็นจริงแล้ว เงินจำนวนดังกล่าวอาจไม่สามารถชดเชยความเสียหายทั้งหมดได้ หากมีการมองข้าม “วงเงินจำกัดความรับผิดย่อย” หรือที่เรียกว่า “Sub-limits” ซึ่งเป็นรายละเอียดสำคัญที่ซ่อนอยู่ในกรมธรรมธรรม์

วงเงินจำกัดความรับผิดย่อยอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้ เนื่องจากธรรมชาติของความเสียหายในโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะโรงงานที่มีกระบวนการผลิตซับซ้อนและใช้วัตถุดิบติดไฟง่ายอย่างพลาสติก, ยาง, ไม้, หรือกระดาษนั้น ไม่ได้มีแค่ค่าความเสียหายของอาคารและเครื่องจักรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงค่าใช้จ่ายต่อเนื่องและค่าใช้จ่ายเสริมที่มักถูกมองข้ามไป เช่น ค่ารื้อถอนและเก็บกวาดซากปรักหักพัง, ค่าจ้างสถาปนิกหรือวิศวกรเพื่อประเมินและออกแบบใหม่, หรือค่าธรรมเนียมทางกฎหมาย สิ่งเหล่านี้คือค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอย่างยิ่งยวดต่อการฟื้นฟูธุรกิจให้กลับมาดำเนินงานได้อีกครั้ง

บริษัทประกันภัยมีการกำหนดวงเงินจำกัดความรับผิดย่อยเหล่านี้ เพื่อควบคุมความเสี่ยงของตนเองและเพื่อไม่ให้ต้นทุนของความคุ้มครองเบ็ดเตล็ดเหล่านี้สูงเกินไป ในบางกรณี วงเงินจำกัดความรับผิดย่อยอาจถูกกำหนดเป็นอัตราร้อยละเล็กน้อยของวงเงินประกันรวม (เช่น 1-5%) หรือเป็นวงเงินตายตัวที่ค่อนข้างต่ำ เช่น ค่าเก็บกวาดซากอาจถูกจำกัดไว้ที่เพียง 1 ล้านบาท แม้มูลค่าความเสียหายรวมอาจสูงถึงหลักร้อยล้านบาทสำหรับโรงงานขนาดใหญ่ สำหรับโรงงานผลิตยางหรือพลาสติกขนาดใหญ่ที่เกิดเพลิงไหม้ การเก็บกวาดเศษซากที่ปนเปื้อนสารเคมีต้องใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่และทีมงานเฉพาะทาง ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนนี้สามารถสูงถึงหลักสิบล้านบาทได้อย่างง่ายดาย หากวงเงิน Sub-limit อยู่ที่ 1 ล้านบาท นั่นหมายความว่าส่วนที่เหลือ ผู้ประกอบการต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด

กรณีศึกษา: บทเรียนจากวงเงินจำกัดความรับผิดย่อย

โรงงานผลิตไม้แห่งหนึ่งในภาคตะวันออกมีวงเงินประกันภัยสำหรับอาคารและเครื่องจักรอยู่ที่ 80 ล้านบาท แต่เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้รุนแรงจนโครงสร้างอาคารไม้ทั้งหมดเสียหาย ค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนและจัดการซากที่ปนเปื้อนนั้นสูงถึง 12 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม วงเงินจำกัดความรับผิดย่อยสำหรับ “ค่าใช้จ่ายในการเก็บกวาดซาก” ในกรมธรรม์ของโรงงานถูกกำหนดไว้เพียง 1.5 ล้านบาทเท่านั้น นั่นหมายความว่า โรงงานแห่งนี้ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนเกินถึง 10.5 ล้านบาทด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นภาระที่หนักหนาสาหัสในช่วงเวลาที่ธุรกิจกำลังเผชิญวิกฤต

ดังนั้น ผู้ประกอบการไม่ควรพิจารณาเพียงตัวเลขวงเงินรวมของกรมธรรม์เท่านั้น แต่ควรเจาะลึกเข้าไปในรายละเอียดของวงเงินจำกัดความรับผิดย่อยที่ซ่อนอยู่ และทำความเข้าใจว่าแต่ละรายการมีความสำคัญอย่างไรต่อการดำเนินธุรกิจหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นจริง การลงทุนในกรมธรรม์ประกันภัยไม่ใช่แค่การ “มี” ประกัน แต่เป็นการ “มีประกันที่ถูกต้องและเพียงพอ” ต่อความเสี่ยงที่แท้จริงของธุรกิจ

สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารที่ต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงและการประกันภัยที่เหมาะสมกับธุรกิจโดยเฉพาะ สามารถติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง เพียงเพิ่มเพื่อนทาง LINE: @siamadvicefirm

Leave a Comment