
สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง เหตุการณ์ที่น่าเสียดายที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า คือการที่ธุรกิจต้องเผชิญหน้ากับความเสียหายครั้งใหญ่ แต่กลับไม่สามารถเรียกร้องสินไหมทดแทน (เคลมประกัน) ได้อย่างราบรื่นเท่าที่ควรจะเป็น สาเหตุนั้นมีมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่มักจะถูกมองข้าม และเป็นจุดเริ่มต้นของความยุ่งยากทั้งหมด ก็คือถ้อยคำที่ใช้ ณ วินาทีแรกที่แจ้งเหตุ ซึ่งมีผลกระทบต่ออนาคตของการเคลมมากกว่าที่คาดคิด
เหตุใดการคาดเดาสาเหตุจึงเป็นเรื่องอันตราย
บ่อยครั้งที่เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอัคคีภัยหรือเครื่องจักรเสียหาย ผู้ประกอบการมักจะอยู่ในภาวะตกใจและพยายามหาคำอธิบายให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นทันที การใช้คำพูดที่ขึ้นต้นด้วย “คิดว่าสาเหตุน่าจะมาจาก…” “สงสัยว่าน่าจะเกิดจาก…” หรือ “คงจะเป็นเพราะ…” แม้ดูเหมือนจะเป็นการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ แต่ในทางกลับกัน อาจสร้างปัญหาให้กับกระบวนการเคลมประกันได้อย่างคาดไม่ถึง เพราะ:
- ไม่ใช่ข้อเท็จจริง: สัญญาประกันภัยตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและหลักฐานที่พิสูจน์ได้ การคาดเดาหรือการสันนิษฐานยังคงเป็นเพียงความคิดเห็น การให้ข้อมูลที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงตั้งแต่แรก อาจทำให้บริษัทประกันภัยมองว่ามีการให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ซึ่งนำไปสู่ความล่าช้าในการตรวจสอบ
- เปิดช่องให้เกิดการตีความ: คำว่า “น่าจะมาจาก…” ทำให้บริษัทประกันภัยต้องตีความถึงความเป็นไปได้อื่นๆ ซึ่งอาจรวมไปถึงสาเหตุที่ไม่อยู่ในความคุ้มครองของกรมธรรม์ หรือสาเหตุที่เกิดจากความประมาทเลินเล่อ
- ชี้นำการตรวจสอบ: เมื่อมีการแจ้งสาเหตุที่คาดการณ์ไว้ตั้งแต่ต้น ผู้สำรวจภัย (Loss Adjuster) อาจถูกชี้นำไปในทิศทางนั้นๆ ทำให้ละเลยการตรวจสอบสาเหตุที่แท้จริงอื่นๆ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่อยู่ในความคุ้มครอง
- ความหมายแฝงของความประมาท: ในบางบริบท การใช้คำว่า “น่าจะเกิดจาก…” อาจถูกตีความได้ว่าทราบถึงความเสี่ยงหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้นอยู่ก่อนแล้ว แต่ไม่ได้ดำเนินการป้องกันอย่างเพียงพอ ซึ่งอาจเข้าข่ายความประมาทเลินเล่อ
คำพูดอื่นๆ ที่ควรหลีกเลี่ยง
นอกจาก “คิดว่า…” แล้ว ยังมีวลีอื่นๆ ที่ควรหลีกเลี่ยงในขั้นตอนแรกของการแจ้งเคลม ได้แก่:
- “เผลอทำ…” หรือ “ไม่ได้ระมัดระวังพอ…” (อาจแสดงถึงความประมาทเลินเล่อโดยตรง)
- “เคยเป็นมาก่อนแล้วแต่ก็ซ่อมเอง…” (อาจแสดงถึงการละเลยการบำรุงรักษา)
- “อุปกรณ์ชิ้นนี้เก่ามากแล้ว…” (อาจชี้นำไปสู่การเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน ซึ่งมักเป็นข้อยกเว้น)
- “คิดว่าพนักงานคนนั้นทำไม่ถูกต้อง…” (การโยนความผิดให้ผู้อื่น อาจนำไปสู่ข้อพิพาทและทำให้การเคลมยืดเยื้อ)
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ในขั้นตอนแรกของการแจ้งเหตุ ควรยึดมั่นอยู่กับข้อเท็จจริงที่สามารถสังเกตเห็นได้เท่านั้น เช่น “เกิดเพลิงไหม้ที่อาคารส่วนการผลิต” หรือ “เครื่องจักรหมายเลข 5 หยุดทำงานและมีควันออกมา” การแจ้งเพียงว่า “เกิดอะไรขึ้น”, “ที่ไหน”, และ “เมื่อไหร่” โดยละเว้นการระบุ “ทำไม” ในเบื้องต้น จะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญได้เข้ามาตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริงอย่างเป็นกลาง
กรณีศึกษา: สองแนวทาง สองผลลัพธ์
กรณีที่ 1: การแจ้งเคลมแบบมีข้อสันนิษฐาน ผู้จัดการโรงงานพลาสติกแจ้งบริษัทประกันภัยว่า “คิดว่าสาเหตุมาจากไฟฟ้าลัดวงจร เพราะช่วงเช้ามีช่างมาเดินสายไฟเพิ่มตรงจุดนั้น” ถ้อยคำนี้ทำให้บริษัทประกันภัยต้องเสียเวลาตรวจสอบอย่างละเอียดว่าการเดินสายไฟนั้นได้มาตรฐานหรือไม่ และต้องใช้เวลานานเพื่อหาข้อสรุป ทำให้กระบวนการเคลมยืดเยื้อออกไปหลายเดือน
กรณีที่ 2: การแจ้งเคลมแบบเน้นข้อเท็จจริง ในอีกกรณีหนึ่งของโรงงานแปรรูปไม้อัด ที่เกิดเหตุเครื่องจักรหลักหยุดทำงานกะทันหัน ผู้บริหารโรงงานแจ้งบริษัทประกันภัยเพียงว่า “เครื่องเลื่อยวงเดือนอัตโนมัติหมายเลข 3 หยุดทำงานขณะเดินเครื่อง มีเสียงดังผิดปกติและมีกลิ่นไหม้เกิดขึ้น พนักงานได้ตัดกระแสไฟทันที” การแจ้งที่เน้นข้อเท็จจริงที่เห็นและได้ยิน ณ ขณะนั้น โดยไม่ระบุสาเหตุ ทำให้ผู้สำรวจภัยสามารถเข้ามาตรวจสอบสภาพเครื่องจักรได้อย่างเป็นกลางและวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริงได้เร็วขึ้น ทำให้กระบวนการเคลมเป็นไปอย่างราบรื่นและใช้เวลาน้อยกว่ามาก
จากสองกรณีนี้จะเห็นได้ชัดว่า การสื่อสารที่แม่นยำและยึดมั่นในข้อเท็จจริงเท่านั้น ณ ขั้นตอนแรกของการแจ้งเคลม เป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้กระบวนการเคลมประกันไม่ซับซ้อนเกินจำเป็น การควบคุมอารมณ์และให้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงอย่างชัดเจนในทุกขั้นตอน จะช่วยให้ผู้ประเมินความเสียหายสามารถปฏิบัติงานได้อย่างรวดเร็วและเป็นธรรม ทำให้ธุรกิจกลับมาดำเนินงานได้โดยเร็วที่สุด
สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารที่ต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงและการประกันภัยที่เหมาะสมกับธุรกิจโดยเฉพาะ สามารถติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง เพียงเพิ่มเพื่อนทาง LINE: @siamadvicefirm