การบริหารจัดการเบี้ยประกันภัยและการหาความคุ้มครองใหม่หลังการเรียกร้องสินไหม

การบริหารจัดการเบี้ยประกันภัยและการหาความคุ้มครองใหม่หลังการเรียกร้องสินไหม

หนึ่งในความกังวลสำคัญของผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงคือ “หลังจากการเรียกร้องสินไหมครั้งใหญ่ เบี้ยประกันจะสูงขึ้นหรือไม่ และหากบริษัทประกันไม่รับต่ออายุ จะหาประกันใหม่ได้อย่างไร”

เป็นความจริงที่การเรียกร้องสินไหม โดยเฉพาะการเคลมครั้งใหญ่ ย่อมส่งผลกระทบต่อเบี้ยประกันภัยในรอบถัดไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญกว่านั้นคือสถานการณ์ดังกล่าวไม่จำเป็นต้องกลายเป็นปัญหาใหญ่เสมอไป เพราะการเคลมคือข้อมูลที่บริษัทประกันภัยใช้ประเมินความเสี่ยง และสำหรับผู้บริหาร มันคือโอกาสที่จะพิสูจน์ให้เห็นถึงการบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ

เหตุใดเบี้ยประกันจึงมีแนวโน้มสูงขึ้นหลังการเคลม และจะรับมืออย่างไร

เหตุผลหลักที่เบี้ยประกันมีแนวโน้มปรับขึ้นคือมุมมองด้านความเสี่ยงของผู้รับประกันภัยที่เปลี่ยนไป เมื่อเกิดเหตุการณ์เคลมขึ้น บริษัทประกันภัยจะมองว่าโรงงานมีความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุซ้ำเพิ่มขึ้น หรือระดับความเสี่ยงที่ประเมินไว้แต่แรกอาจต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนผ่านอัตราส่วนความเสียหาย (Loss Ratio) หากอัตราส่วนนี้สูงขึ้นจากการเคลม เบี้ยประกันย่อมต้องสะท้อนถึงความเสี่ยงที่สูงขึ้นตามไปด้วย

นอกจากนี้ ตลาดประกันภัยโดยรวมก็มีผลเช่นกัน หากเป็นช่วงที่ตลาดมีผู้รับประกันภัยที่รับความเสี่ยงประเภทนี้จำนวนจำกัด หลังการเคลม โรงงานอาจต้องยอมรับเงื่อนไขที่เข้มงวดขึ้น

อย่างไรก็ตาม ระดับการปรับขึ้นของเบี้ยประกันนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการเคลม หากมีการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการปรับปรุงและลดความเสี่ยงอย่างจริงจัง เช่น การลงทุนในระบบป้องกันอัคคีภัยที่ทันสมัย, การฝึกอบรมพนักงานเรื่องความปลอดภัยอย่างเข้มข้น, หรือการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบำรุงรักษาเครื่องจักรเชิงป้องกัน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการเจรจาต่อรองเบี้ยประกันในอนาคต

กรณีศึกษา: การเคลมไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นบทเรียน

โรงงานผลิตเม็ดพลาสติกแห่งหนึ่งเกิดเหตุเพลิงไหม้เล็กน้อยจากความประมาทของพนักงาน แม้ความเสียหายไม่มากนักแต่ก็มีการเรียกร้องสินไหมเกิดขึ้น ทางโรงงานมีความกังวลว่าปีถัดไปเบี้ยประกันจะสูงขึ้นมาก

ภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ โรงงานได้ดำเนินการทันทีหลังการเคลม ไม่ใช่แค่ซ่อมแซมความเสียหาย แต่เป็นการถอดบทเรียนอย่างจริงจัง โดยได้ลงทุนติดตั้งระบบตรวจจับควันและอุณหภูมิที่ละเอียดอ่อนขึ้น, จัดทำโปรแกรมการฝึกอบรมพนักงานเรื่องการทำงานที่ก่อให้เกิดประกายไฟโดยเฉพาะ, และกำหนดพื้นที่ Hot Work Zone ที่มีมาตรการควบคุมที่เข้มงวดขึ้น ข้อมูลทั้งหมดนี้ถูกรวบรวมเป็นรายงานที่ละเอียดและนำเสนอต่อบริษัทประกันภัย

ผลลัพธ์คือ แม้เบี้ยประกันจะมีการปรับขึ้นบ้าง แต่ก็ไม่สูงเท่าที่คาดการณ์ไว้ และที่สำคัญคือบริษัทประกันเดิมยังคงรับประกันต่ออายุ เนื่องจากเห็นถึงความมุ่งมั่นของโรงงานในการลดความเสี่ยง ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงที่บริษัทประกันต้องรับก็น้อยลงตามไปด้วย

แนวทางปฏิบัติหากต้องหาประกันใหม่

ในสถานการณ์ที่บริษัทประกันเดิมไม่รับต่ออายุ หรือเสนอเบี้ยประกันในราคาที่สูงจนรับไม่ได้ การหาประกันใหม่คือทางออก แต่สำหรับธุรกิจที่มีประวัติการเคลม การหาผู้รับประกันภัยรายใหม่ที่เข้าใจธุรกิจและพร้อมจะรับความเสี่ยงอาจเป็นเรื่องท้าทาย

ในจุดนี้ บทบาทของที่ปรึกษาด้านประกันภัยสำหรับธุรกิจจะมีความสำคัญอย่างยิ่ง ที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์จะช่วยได้ดังนี้:

  1. ประเมินความเสี่ยงเชิงลึก: ช่วยวิเคราะห์และนำเสนอมาตรการลดความเสี่ยงที่ได้ดำเนินการไปแล้วหลังการเคลมอย่างเป็นระบบ
  2. นำเสนอข้อมูลอย่างมืออาชีพ: เตรียมประวัติการเคลม (Loss Run Report) และเอกสารประกอบอื่นๆ ที่จำเป็น ให้บริษัทประกันรายใหม่เห็นภาพรวมความเสียหายและมาตรการป้องกันอย่างชัดเจน
  3. เชื่อมโยงกับตลาดประกันภัย: ใช้เครือข่ายและความสัมพันธ์กับบริษัทประกันภัยหลากหลายแห่ง เพื่อหาผู้รับประกันภัยที่มีความเข้าใจและพร้อมจะรับความเสี่ยงประเภทธุรกิจนั้นๆ
  4. เจรจาต่อรอง: ใช้ประสบการณ์ในการเจรจาต่อรองเงื่อนไขและเบี้ยประกันให้เหมาะสมและเป็นธรรมที่สุด

ดังนั้น การเคลมประกันจึงไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นโอกาสสำคัญที่จะได้พิสูจน์ถึงศักยภาพในการบริหารความเสี่ยงขององค์กร และยังเป็นช่วงเวลาที่การมีที่ปรึกษาที่ไว้ใจได้อยู่เคียงข้าง จะช่วยให้สามารถผ่านพ้นความท้าทายนี้ไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารที่ต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงและการประกันภัยที่เหมาะสมกับธุรกิจโดยเฉพาะ สามารถติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง เพียงเพิ่มเพื่อนทาง LINE: @siamadvicefirm

Leave a Comment