
ผู้ประกอบการโรงงานรีไซเคิลพลาสติกมักตั้งคำถามว่า “เหตุใดเบี้ยประกันภัยของโรงงานจึงสูงกว่าโรงงานทั่วไป 2-3 เท่า หรือมากกว่านั้น” คำตอบสำหรับประเด็นนี้ไม่ได้ซับซ้อน แต่เป็นผลสะท้อนโดยตรงของความเสี่ยงโดยเนื้อแท้ที่สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญในทุกมิติ ซึ่งบริษัทประกันภัยจำเป็นต้องประเมินและสะท้อนออกมาในรูปแบบของเบี้ยประกันภัยอย่างสมเหตุสมผล เพื่อให้ความคุ้มครองเพียงพอต่อความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้
เหตุผลเบื้องหลังความแตกต่างของเบี้ยประกันภัยที่สูงนี้มีที่มาที่ไปอย่างชัดเจน ซึ่งผู้ประกอบการอาจมองข้ามไปบ้าง เนื่องจากมุ่งเน้นไปที่การผลิตและธุรกิจเป็นหลัก ประเด็นสำคัญที่บริษัทประกันภัยให้ความสำคัญเป็นพิเศษมีดังนี้:
ประการแรกที่สำคัญที่สุดคือ ภัยอัคคีภัยที่รุนแรงและควบคุมได้ยากกว่ามาก พลาสติกในทุกรูปแบบล้วนเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่ติดไฟง่ายและลุกลามอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกระบวนการรีไซเคิลที่มักมีการบดหรือย่อย ซึ่งเป็นการเพิ่มพื้นที่ผิวสัมผัสของพลาสติกให้สัมผัสกับออกซิเจนได้มากขึ้น ทำให้การลุกไหม้รุนแรงขึ้นเป็นทวีคูณ ฝุ่นพลาสติกที่ฟุ้งกระจายในอากาศสามารถก่อให้เกิดการระเบิดได้หากมีประกายไฟ แม้แต่ความร้อนที่เกิดขึ้นจากการทำงานของเครื่องจักรก็อาจเพียงพอที่จะจุดประกายไฟได้ และเมื่อเกิดอัคคีภัยขึ้น การควบคุมเพลิงทำได้ยากกว่าโรงงานทั่วไปหลายเท่า เนื่องจากพลาสติกบางชนิดเมื่อติดไฟจะหลอมเหลวและหยดลงมา ทำให้ไฟลุกลามในวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว
ประการที่สองคือ มูลค่าความเสียหายที่สูงทั้งทางตรงและทางอ้อม หากเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นในโรงงานรีไซเคิลพลาสติก ไม่ใช่แค่ตัวอาคารหรือเครื่องจักรเท่านั้นที่จะเสียหาย แต่สต็อกวัตถุดิบซึ่งอาจมีปริมาณมหาศาลก็อาจถูกทำลายได้เช่นกัน เครื่องจักรที่ใช้ในกระบวนการรีไซเคิลล้วนเป็นเครื่องจักรเฉพาะทางที่มีราคาสูง การซ่อมแซมหรือจัดหามาทดแทนต้องใช้เวลาและเงินลงทุนมหาศาล ที่สำคัญไม่แพ้กันคือความเสียหายจากการหยุดชะงักทางธุรกิจ (Business Interruption) หากโรงงานต้องหยุดเดินเครื่องเป็นเวลานาน นั่นหมายถึงการสูญเสียรายได้และอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างถาวร ยิ่งไปกว่านั้น ความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมจากการปล่อยควันพิษหรือน้ำเสียที่เกิดจากการดับเพลิง ก็อาจนำไปสู่การเรียกร้องค่าเสียหายหรือค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมที่สูงมาก
กรณีศึกษา: บทเรียนจากเหตุเพลิงไหม้
โรงงานรีไซเคิลพลาสติกแห่งหนึ่งทางภาคตะวันออกเคยประสบเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ แม้โรงงานจะมีระบบป้องกันอัคคีภัยที่ดีในระดับหนึ่ง แต่ด้วยปริมาณพลาสติกที่กองสูงและธรรมชาติของเชื้อเพลิง ทำให้เพลิงลุกลามอย่างรวดเร็วจนเกินกำลังที่ระบบจะรับไหว เพียงไม่กี่ชั่วโมง เครื่องจักร สายการผลิต และสต็อกวัตถุดิบหลายร้อยตันก็ถูกทำลายจนหมดสิ้น ความเสียหายโดยรวมประเมินเบื้องต้นไม่ต่ำกว่าร้อยล้านบาท และต้องใช้เวลากว่าหนึ่งปีกว่าจะสามารถกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ กรณีนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าแม้จะมีการลงทุนในระบบป้องกันที่ดี แต่ความรุนแรงของความเสี่ยงยังคงสูงมาก และนั่นคือสิ่งที่บริษัทประกันภัยต้องนำมาพิจารณาเพื่อสะท้อนออกมาเป็นเบี้ยประกันที่เหมาะสม
ดังนั้น การที่โรงงานรีไซเคิลพลาสติกต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยแพงกว่าโรงงานประเภทอื่น จึงควรถูกมองว่าเป็นการลงทุนที่จำเป็นอย่างยิ่งในการป้องกันและโอนถ่ายความเสี่ยงระดับสูงที่อาจส่งผลให้ธุรกิจต้องปิดตัวลงอย่างถาวร เบี้ยประกันที่สูงนี้คือต้นทุนของการคุ้มครองที่ครอบคลุมความเสี่ยงที่ซับซ้อน รุนแรง และมีมูลค่าความเสียหายสูง ซึ่งเป็นคุณลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรมนี้
สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารที่ต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงและการประกันภัยที่เหมาะสมกับธุรกิจโดยเฉพาะ สามารถติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง เพียงเพิ่มเพื่อนทาง LINE: @siamadvicefirm