
สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงอย่างโรงงานผลิตพลาสติก ข้อผิดพลาดร้ายแรงประการหนึ่งที่มักถูกมองข้ามคือการประเมินมูลค่าสต็อกเม็ดพลาสติกที่ผิดพลาด ซึ่งอาจกลายเป็นหายนะเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
การประเมินสต็อกอาจดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย โดยอิงจากตัวเลขในบัญชีหรือราคาที่ซื้อมาล่าสุด แต่ในความเป็นจริง นี่คือจุดที่หลายโรงงานพลาดไปและกลายเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ในการคุ้มครองทางประกันภัย เมื่อเกิดอัคคีภัยหรือภัยพิบัติใดๆ ที่สร้างความเสียหายต่อสต็อกสินค้า มูลค่าที่แจ้งไว้กับบริษัทประกันภัยจะกลายเป็นเพดานสูงสุดของการชดเชย หากมีการประเมินมูลค่าสต็อกต่ำกว่าความเป็นจริง ธุรกิจจะต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายส่วนที่เหลือเองทั้งหมด
เหตุใดมูลค่าสต็อกจึงมักผิดพลาดจากความเป็นจริง
เหตุผลสำคัญที่ทำให้การประเมินมูลค่าสต็อกเม็ดพลาสติกคลาดเคลื่อนนั้นมีหลายมิติที่ซับซ้อน:
ประการแรก ความผันผวนของราคาตลาด คือตัวแปรสำคัญที่ควบคุมได้ยาก เม็ดพลาสติกเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีราคาแปรผันตามปัจจัยเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมัน การใช้ราคาซื้อย้อนหลังหรือราคาในบัญชีที่ไม่ได้อัปเดตอย่างสม่ำเสมอ ย่อมนำไปสู่การประเมินมูลค่าที่ต่ำกว่าราคาตลาด ณ วันที่เกิดเหตุ โรงงานหลายแห่งมักยึดติดกับต้นทุนเดิม โดยลืมไปว่าในยามที่เกิดภัย สิ่งที่ต้องการไม่ใช่เงินคืนเท่าต้นทุนเดิม แต่เป็นเงินที่เพียงพอที่จะซื้อของใหม่มาทดแทนเพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อได้ทันที นี่คือความแตกต่างที่สำคัญระหว่างมูลค่าทางบัญชีกับมูลค่าเพื่อการทดแทน
ประการที่สอง ความซับซ้อนของชนิดเม็ดพลาสติกและกระบวนการจัดการ เม็ดพลาสติกมีหลากหลายชนิด ทั้ง Virgin, Recycle, Masterbatch, และสารเติมแต่งต่างๆ ซึ่งแต่ละชนิดมีราคาแตกต่างกันมาก นอกจากนี้ มูลค่าของสต็อกไม่ได้มีแค่ราคาเม็ดพลาสติก แต่ยังรวมถึงค่าใช้จ่ายแฝง เช่น ค่าขนส่ง, ค่าภาษีนำเข้า, และค่าจัดเก็บ ซึ่งหากไม่รวมต้นทุนเหล่านี้เข้าไปในการประเมิน ก็จะทำให้มูลค่าสต็อกต่ำกว่าความเป็นจริง
ประการสุดท้าย ระบบการจัดการสต็อกที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อการประกันภัย ระบบการจัดการสินค้าคงคลังส่วนใหญ่มักเน้นที่การควบคุมปริมาณหรือการคำนวณต้นทุนเพื่อวัตถุประสงค์ทางบัญชี ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อสะท้อนมูลค่าการทดแทนที่อัปเดตตามราคาตลาด เมื่อเกิดเหตุขึ้น ข้อมูลที่ใช้อ้างอิงอาจล้าสมัยหรือขาดความละเอียด ทำให้การเรียกร้องสินไหมเป็นไปได้ยากและอาจไม่เต็มจำนวน
บทเรียนจากโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก
โรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกแห่งหนึ่งประสบเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ โดยได้ประเมินมูลค่าสต็อกเม็ดพลาสติกรวมไว้ที่ 30 ล้านบาท และทำประกันภัยตามมูลค่านั้น พอเกิดเหตุเพลิงไหม้ คลังสินค้าและเม็ดพลาสติกส่วนใหญ่เสียหายทั้งหมด
ในขั้นตอนการเรียกร้องสินไหม พบว่าราคาเม็ดพลาสติกในตลาดโลก ณ ขณะเกิดเหตุได้พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้มูลค่าการซื้อเม็ดพลาสติกใหม่เพื่อมาทดแทนสต็อกที่เสียหายนั้นสูงถึง 50 ล้านบาท นั่นหมายความว่า แม้บริษัทประกันจะจ่ายค่าเสียหายเต็มวงเงิน 30 ล้านบาท โรงงานก็ยังคงต้องหาเงินทุนอีก 20 ล้านบาทเพื่อซื้อวัตถุดิบมาเริ่มต้นการผลิตใหม่ และต้องเผชิญกับภาวะขาดสภาพคล่องอย่างหนัก
บทเรียนจากเหตุการณ์นี้คือ การประเมินมูลค่าสต็อกที่ต่ำกว่าความเป็นจริง ไม่ได้แปลว่าจะประหยัดเบี้ยประกันได้ แต่แปลว่ากำลังซื้อความคุ้มครองที่ต่ำกว่าความเสี่ยงจริง ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อการอยู่รอดของธุรกิจ
แนวทางแก้ไขเพื่อสร้างความมั่นคงให้ธุรกิจ
เพื่อป้องกันไม่ให้ความผิดพลาดนี้เกิดขึ้น ควรมีแนวทางปฏิบัติดังนี้:
- ประเมินมูลค่าตามราคาทดแทน (Replacement Cost): ควรประเมินว่าหากเกิดความเสียหาย ต้องใช้เงินเท่าไรในการซื้อเม็ดพลาสติกชนิดเดียวกันมาทดแทนได้ทันทีในราคาตลาดปัจจุบัน
- อัปเดตมูลค่าสต็อกอย่างสม่ำเสมอ: ควรทบทวนและปรับปรุงมูลค่าสต็อกที่แจ้งไว้กับบริษัทประกันภัยอย่างน้อยปีละครั้ง หรือเมื่อมีปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อราคาตลาด
- รวมค่าใช้จ่ายแฝงในการประเมิน: อย่าลืมรวมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งสต็อก เช่น ค่าขนส่งและค่าภาษี เข้าไปในมูลค่าด้วย
- ใช้ระบบจัดการสต็อกที่เหมาะสม: ควรลงทุนในระบบที่สามารถประเมินมูลค่าสต็อก ณ เวลาใดเวลาหนึ่งได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านประกันภัย: การทำงานกับที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ จะช่วยให้สามารถประเมินความเสี่ยงและมูลค่าทรัพย์สินได้อย่างถูกต้องและครอบคลุม
การประเมินมูลค่าสต็อกเม็ดพลาสติกที่ถูกต้อง คือหัวใจสำคัญของการบริหารความเสี่ยงและสร้างความยืดหยุ่นให้กับธุรกิจอย่างแท้จริง อย่าปล่อยให้ความเข้าใจผิดเพียงเล็กน้อย กลายเป็นต้นเหตุของความเสียหายที่ไม่สามารถแก้ไขได้ในภายหลัง
สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารที่ต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงและการประกันภัยที่เหมาะสมกับธุรกิจโดยเฉพาะ สามารถติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง เพียงเพิ่มเพื่อนทาง LINE: @siamadvicefirm