
ในแวดวงอุตสาหกรรม โดยเฉพาะโรงงานกระดาษ หนึ่งในประเด็นที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเรียกร้องสินไหมทดแทนสำหรับเครื่องจักรคือการจำแนกความเสียหายว่าเกิดจาก “การเสื่อมสภาพตามการใช้งาน” หรือเป็น “อุบัติเหตุ” ซึ่งความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในประเด็นนี้อาจทำให้โรงงานสูญเสียโอกาสในการได้รับค่าสินไหมทดแทนที่ควรจะได้รับ ดังนั้น การทำความเข้าใจความแตกต่างของคำนิยามทั้งสองนี้ก่อนเกิดเหตุการณ์ ถือเป็นกุญแจสำคัญที่อาจชี้ขาดผลการพิจารณาสินไหมทดแทนได้
เหตุผลที่คำจำกัดความเพียงสองคำนี้มีความหมายและผลกระทบมหาศาลนั้น เนื่องจากนโยบายประกันภัยเครื่องจักรส่วนใหญ่ โดยเฉพาะประกันภัยความเสียหายของเครื่องจักร (Machinery Breakdown Insurance) มักจะระบุข้อยกเว้นความคุ้มครองสำหรับความเสียหายที่เกิดจาก “การเสื่อมสภาพตามการใช้งาน” (Wear and Tear) “การกัดกร่อน” (Corrosion) “การสึกหรอตามธรรมชาติ” (Gradual Deterioration) หรือ “ข้อบกพร่องที่มีอยู่เดิม” (Inherent Vice) ในขณะที่ “อุบัติเหตุ” (Accident) โดยทั่วไปแล้วจะหมายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ไม่ได้คาดการณ์ไว้ และเกิดจากปัจจัยภายนอกที่ไม่ได้มาจากกระบวนการเสื่อมสภาพปกติของเครื่องจักร
ในมุมมองของบริษัทประกันภัย ความเสื่อมสภาพคือต้นทุนการดำเนินงานและบำรุงรักษาที่ผู้ประกอบการต้องรับผิดชอบเอง เนื่องจากเป็นสิ่งที่สามารถคาดการณ์และป้องกันได้ด้วยการบำรุงรักษาเชิงป้องกันและการเปลี่ยนอะไหล่ตามกำหนดเวลา ซึ่งต่างจากอุบัติเหตุที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ความซับซ้อนที่แท้จริงจึงไม่ได้อยู่ที่คำจำกัดความเชิงพจนานุกรม แต่คือการพิสูจน์ว่าความเสียหายนั้นเป็น “อุบัติเหตุ” ที่คุ้มครอง หรือเป็น “การเสื่อมสภาพ” ที่ถูกยกเว้น ในทางเทคนิคและการปฏิบัติงานจริงของเครื่องจักรขนาดใหญ่ โดยเฉพาะเครื่องจักรในโรงงานกระดาษที่มีชิ้นส่วนจำนวนมากทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องภายใต้สภาวะที่หนักหน่วง
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน สามารถพิจารณาจากตัวอย่างความเสียหายของลูกปืน (Bearing) ในลูกกลิ้ง (Roller) ของเครื่องจักรกระดาษ ซึ่งสามารถจำแนกได้เป็นสองกรณี:
- กรณีที่ 1: การเสื่อมสภาพตามการใช้งาน (Wear and Tear) หากการตรวจสอบพบว่าลูกปืนมีการใช้งานมาอย่างยาวนานเกินกว่าอายุการใช้งานที่ผู้ผลิตแนะนำ มีร่องรอยการสึกหรอตามธรรมชาติ หรือขาดการหล่อลื่นและบำรุงรักษาตามรอบที่กำหนด จนทำให้ลูกปืนค่อยๆ สึกหรอและแตกในที่สุด ซึ่งนำไปสู่การหยุดทำงานของเครื่องจักร กรณีเช่นนี้มักจะถูกพิจารณาว่าเป็น “การเสื่อมสภาพ” เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตามปกติจากการใช้งาน และสามารถป้องกันได้ด้วยการบำรุงรักษาที่เหมาะสม ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่นอกเหนือความคุ้มครอง
- กรณีที่ 2: อุบัติเหตุ (Accident) แต่หากลูกปืนเดียวกันนี้เสียหายจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันและฉับพลัน เช่น มีวัตถุแปลกปลอม (เช่น น็อต หรือเศษวัสดุแข็ง) หลุดเข้าไปในชุดลูกปืนโดยบังเอิญ ทำให้ลูกปืนติดขัดและแตกในทันที หรือเกิดไฟฟ้าลัดวงจรอย่างกะทันหันในระบบควบคุมที่ส่งผลให้กลไกทำงานผิดพลาดอย่างรุนแรงและฉับพลันจนลูกปืนเสียหาย หรือแม้กระทั่งความผิดพลาดในการติดตั้งชิ้นส่วนโดยช่างภายนอก หากสามารถพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายเกิดจากเหตุการณ์เหล่านี้ที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้และเกิดขึ้นทันทีทันใด กรณีนี้จึงจะสามารถยื่นเรียกร้องสินไหมในฐานะ “อุบัติเหตุ” ได้
ปัจจัยสำคัญในการเรียกร้องสินไหมคือการพิสูจน์สาเหตุของความเสียหาย การรวบรวมหลักฐานและข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ตั้งแต่บันทึกการบำรุงรักษาเครื่องจักรอย่างละเอียด (Maintenance Log) ประวัติการซ่อมแซม การเปลี่ยนอะไหล่ สเปคของชิ้นส่วนที่ใช้งาน รายงานการตรวจสอบจากวิศวกรหรือผู้เชี่ยวชาญ การบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด แม้กระทั่งภาพถ่ายหรือวิดีโอของความเสียหาย สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นหลักฐานสำคัญในการยืนยันว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นมีลักษณะเป็น “อุบัติเหตุ” ไม่ใช่เพียง “การเสื่อมสภาพ” โดยเฉพาะในกรณีที่เครื่องจักรในโรงงานกระดาษมีราคาสูงและมีความซับซ้อนทางเทคนิค การมีผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจกระบวนการผลิตมาช่วยวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูลให้กับบริษัทประกันภัยจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ดังนั้น การเตรียมความพร้อมอย่างรอบคอบจึงเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญ การลงทุนในระบบบำรุงรักษาที่มีคุณภาพ การจัดเก็บข้อมูลที่แม่นยำ และการทำงานร่วมกับที่ปรึกษาด้านประกันภัยที่มีความเข้าใจในธุรกิจเฉพาะทาง จะช่วยให้สามารถนำเสนอข้อมูลประกอบการเรียกร้องสินไหมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มโอกาสในการได้รับความคุ้มครองตามเจตนารมณ์ของกรมธรรม์
สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารที่ต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงและการประกันภัยที่เหมาะสมกับธุรกิจโดยเฉพาะ สามารถพูดคุยกับทีมผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง เพียงเพิ่มเพื่อนทาง LINE: @siamadvicefirm