การประเมินมูลค่าสต็อกเพื่อการประกันภัย: เหตุใดค่าใช้จ่ายในการกำจัดซากจึงมีความสำคัญ

การประเมินมูลค่าสต็อกเพื่อการประกันภัย: เหตุใดค่าใช้จ่ายในการกำจัดซากจึงมีความสำคัญ

ในอุตสาหกรรมการผลิต โดยเฉพาะโรงงานที่ต้องรับมือกับวัสดุอย่างกระดาษ มักพบข้อผิดพลาดสำคัญในการประเมินมูลค่าสินค้าคงคลังเพื่อวัตถุประสงค์ในการทำประกันภัย กล่าวคือ โรงงานจำนวนมากอาจประเมินมูลค่าสต็อกต่ำกว่าความเป็นจริง โดยมองข้ามองค์ประกอบสำคัญอย่างค่าใช้จ่ายในการกำจัดซากความเสียหาย (Debris Removal Cost) ที่อาจเกิดขึ้นหลังเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

แนวคิดที่ว่าการประเมินมูลค่าสต็อกเป็นเพียงการนำต้นทุนการผลิตหรือราคาซื้อมาคูณกับปริมาณนั้น อาจเป็นความเข้าใจที่ไม่ครอบคลุมความเสี่ยงทั้งหมด เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นอัคคีภัยหรืออุทกภัย มูลค่าของสต็อกที่เสียหายไม่ได้หยุดอยู่แค่ต้นทุนการผลิตหรือราคาที่ต้องนำมาทดแทนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงต้นทุนที่มองไม่เห็นซึ่งแฝงเร้นและอาจมีมูลค่าสูงลิบลิ่ว นั่นคือค่าใช้จ่ายในการขนย้ายและกำจัดซากสต็อกที่เสียหาย ซึ่งกลายเป็นขยะอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ต้องจัดการอย่างเร่งด่วน

เหตุผลที่ค่าใช้จ่ายเหล่านี้มักถูกมองข้ามไปก็เพราะไม่ใช่ต้นทุนโดยตรงในการดำเนินธุรกิจปกติ แต่มันจะปรากฏขึ้นทันทีเมื่อประสบภัย และเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่ต้องจ่ายออกไปหลังจากเกิดความเสียหาย โดยไม่มีรายรับกลับเข้ามา สิ่งที่มักถูกละเลยคือ สต็อกม้วนกระดาษที่ได้รับความเสียหายจากน้ำ (เช่น จากการดับเพลิง) หรือจากการเผาไหม้ ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยขนาดและปริมาณของม้วนกระดาษที่มหาศาล การขนย้ายและกำจัดจึงไม่ใช่เรื่องง่ายและมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าที่คาดคิด ตั้งแต่ค่าเครื่องจักรกลหนักที่ต้องเข้ามาขนย้ายซาก ค่าแรงงานเฉพาะทาง ค่ารถขนส่งขนาดใหญ่หลายสิบเที่ยว ไปจนถึงค่าบำบัดหรือค่าฝังกลบขยะอุตสาหกรรม ซึ่งล้วนเป็นภาระทางการเงินที่เพิ่มขึ้นมาท่ามกลางวิกฤตที่ธุรกิจกำลังเผชิญอยู่

กรณีศึกษาหนึ่งที่สะท้อนปัญหานี้ได้ชัดเจน แม้จะไม่ใช่โรงงานกระดาษโดยตรง คือเหตุการณ์เพลิงไหม้ในโรงงานผลิตยางรถยนต์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง แม้ค่าเสียหายของเครื่องจักรและอาคารจะสูงนับร้อยล้านบาท แต่สิ่งที่สร้างความกังวลและต้องการเงินสดเพื่อจัดการอย่างเร่งด่วนคือค่ากำจัดซากยางที่ไหม้ไฟกว่าพันตัน ซึ่งต้องใช้รถบรรทุกขนาดใหญ่หลายสิบคันวิ่งขนซากตลอดหลายวัน มีทั้งค่าจ้างรถแบ็คโฮ และค่าใช้จ่ายในการนำไปบำบัดที่โรงงานกำจัดขยะอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ สุดท้ายแล้วค่าใช้จ่ายในส่วนนี้พุ่งสูงขึ้นไปเกือบร้อยละสิบของมูลค่าความเสียหายรวมทั้งหมด และเป็นเงินก้อนใหญ่ที่ไม่ได้ถูกประเมินรวมอยู่ในวงเงินประกันอัคคีภัย ทำให้โรงงานต้องนำเงินสดมาใช้จ่ายในส่วนนี้เอง ในช่วงเวลาเดียวกับที่ต้องเร่งซ่อมแซมโรงงานและเครื่องจักรเพื่อกลับมาดำเนินธุรกิจ

เมื่อพิจารณาถึงสต็อกม้วนกระดาษขนาดใหญ่ หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ม้วนกระดาษแต่ละม้วนที่มีน้ำหนักมาก เมื่อถูกน้ำหรือไฟทำลาย จะกลายเป็นขยะอุตสาหกรรมที่ยากต่อการจัดการ การขนย้ายและการกำจัดที่ต้องเป็นไปตามกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมนั้นมีค่าใช้จ่ายสูง และหากไม่ได้รวมมูลค่าส่วนนี้เข้าไปในการประเมินสต็อกเพื่อทำประกันภัย ก็อาจต้องแบกรับภาระทางการเงินก้อนโตนี้ด้วยตนเองโดยไม่จำเป็น ในช่วงเวลาที่ธุรกิจต้องการการสนับสนุนมากที่สุด ความคุ้มครองที่ไม่ครอบคลุมส่วนนี้อาจทำให้ประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนักและฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่ควรจะเป็น

ดังนั้น สำหรับผู้ประกอบการในโรงงานที่ต้องมีการสต็อกสินค้าจำนวนมาก โดยเฉพาะสต็อกม้วนกระดาษ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทบทวนวิธีการประเมินมูลค่าสต็อกเพื่อการประกันภัย โดยควรบวกเพิ่มประมาณการค่าใช้จ่ายในการขนย้ายและกำจัดทิ้งเข้าไปด้วย การดำเนินการเช่นนี้เป็นการลงทุนที่ชาญฉลาด เพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น บริษัทประกันภัยจะสามารถชดเชยความเสียหายได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ครอบคลุมทั้งค่าทดแทนสต็อกใหม่ และค่าใช้จ่ายในการจัดการซากสต็อกที่เสียหาย ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และลดผลกระทบทางการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารที่ต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงและการประกันภัยที่เหมาะสมกับธุรกิจโดยเฉพาะ สามารถติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง เพียงเพิ่มเพื่อนทาง LINE: @siamadvicefirm

Leave a Comment