วิธีประเมินมูลค่าสต็อกเฟอร์นิเจอร์สำเร็จรูปที่ถูกต้องสำหรับการประกันภัย

ในอุตสาหกรรมการผลิต โดยเฉพาะกลุ่มโรงงานไม้และเฟอร์นิเจอร์ หนึ่งในประเด็นที่ผู้ประกอบการจำนวนมากยังคงประเมินค่าความสำคัญต่ำเกินไป คือการประเมินมูลค่าสต็อกสินค้าสำเร็จรูปที่ถูกต้องและครอบคลุม การประเมินมูลค่าสต็อกเฟอร์นิเจอร์สำเร็จรูปที่ถูกต้องนั้น ไม่ใช่เพียงแค่การรวมต้นทุนวัตถุดิบ แต่คือการสะท้อนถึงมูลค่าที่แท้จริงของการลงทุนทั้งหมด ตั้งแต่แรงงานไปจนถึงค่าใช้จ่ายแฝง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการปกป้องธุรกิจยามเกิดวิกฤต

เหตุใดการประเมินมูลค่าเพียงราคาวัตถุดิบจึงเป็นความเสี่ยง

ประการแรก สต็อกเฟอร์นิเจอร์สำเร็จรูปนั้นแตกต่างจากวัตถุดิบ เมื่อไม้ถูกแปรรูปผ่านกระบวนการผลิต ไม่ว่าจะเป็นการตัด เจาะ ขัดเงา ประกอบ ไปจนถึงการทำสีและบรรจุหีบห่อ ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ล้วนถูกเพิ่มเข้าไปในมูลค่าของสินค้านั้นๆ ทั้งค่าแรงงาน, ค่าเสื่อมราคาเครื่องจักร, ค่าน้ำค่าไฟ, ค่าวัสดุสิ้นเปลือง, ค่าออกแบบ, และค่าบริหารจัดการโรงงาน ค่าใช้จ่ายเหล่านี้เป็นต้นทุนการผลิตที่หล่อหลอมให้วัตถุดิบกลายเป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น การประเมินเพียงแค่ราคาวัตถุดิบจึงหมายถึงการละเลยการลงทุนส่วนใหญ่ที่ได้ทุ่มเทลงไป

ประการที่สอง เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น อัคคีภัยหรืออุทกภัย สิ่งที่ธุรกิจต้องการคือเงินทุนที่สามารถผลิตสินค้าทดแทนขึ้นมาใหม่ได้ ไม่ใช่แค่เงินสำหรับซื้อวัตถุดิบ หากมีการทำประกันภัยทรัพย์สินโดยประเมินมูลค่าสต็อกต่ำกว่าความเป็นจริง (Underinsurance) บริษัทประกันภัยจะใช้หลักการค่าสินไหมทดแทนตามสัดส่วน (Pro-rata Condition of Average) ซึ่งหมายความว่าจะได้รับค่าสินไหมทดแทนไม่เต็มจำนวนความเสียหายจริง เพราะถือว่าทำประกันไม่เพียงพอต่อมูลค่าทรัพย์สินที่แท้จริง นี่คือข้อผิดพลาดที่หลายโรงงานเผชิญมาแล้ว และเมื่อถึงเวลาเรียกร้องสินไหม เงินที่ได้รับกลับไม่เพียงพอต่อการฟื้นฟูความเสียหายทั้งหมด

กรณีศึกษา: หลุมพรางของการประเมินมูลค่าต่ำกว่าจริง

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน สามารถพิจารณาจากกรณีศึกษาของโรงงานผลิตโต๊ะรับประทานอาหารไม้ยางพาราแห่งหนึ่ง ซึ่งได้ทำประกันอัคคีภัยและแจ้งมูลค่าสต็อกสินค้าสำเร็จรูปไว้ที่ 5 ล้านบาท โดยอิงจากราคาไม้ที่ใช้ในการผลิตเป็นหลัก แต่ในความเป็นจริง โต๊ะแต่ละชุดมีต้นทุนการผลิตที่แท้จริง (รวมค่าแรง, ค่าประกอบ, ค่าทำสี) อยู่ที่ประมาณ 12,000 บาทต่อชุด และโรงงานมีสต็อกอยู่ 1,000 ชุด นั่นหมายถึงมูลค่าสต็อกที่แท้จริงคือ 12 ล้านบาท

วันหนึ่งเกิดเหตุเพลิงไหม้ในโกดังเก็บสินค้า ทำให้โต๊ะเสียหายทั้งหมด 1,000 ชุด คิดเป็นมูลค่าความเสียหายแท้จริง 12 ล้านบาท แต่เนื่องจากทำประกันไว้เพียง 5 ล้านบาท และกรมธรรม์มีเงื่อนไขการชดใช้ตามสัดส่วน บริษัทประกันภัยจึงชดเชยค่าสินไหมทดแทนให้เป็นสัดส่วนของวงเงินที่ทำประกันเทียบกับมูลค่าที่แท้จริง ซึ่งคำนวณออกมาแล้วได้เพียงประมาณ 2 ล้านกว่าบาท ส่วนต่างที่ขาดไปเกือบ 10 ล้านบาทนี้คือภาระที่โรงงานต้องแบกรับเอง ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อกระแสเงินสดและแผนการฟื้นฟูธุรกิจ

ดังนั้น การประเมินมูลค่าสต็อกเฟอร์นิเจอร์สำเร็จรูปที่แม่นยำ จึงเป็นรากฐานสำคัญของการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ ควรพิจารณามูลค่าสต็อกตามต้นทุนการผลิตรวม (Total Production Cost) ซึ่งรวมถึงวัตถุดิบ, ค่าแรงทางตรง, และค่าใช้จ่ายในการผลิตทางอ้อม (Overhead) การทำเช่นนี้จะช่วยให้มั่นใจได้ว่า กรมธรรม์ประกันภัยที่มีอยู่จะให้ความคุ้มครองที่เพียงพอต่อการฟื้นฟูธุรกิจได้อย่างแท้จริงเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารที่ต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงและการประกันภัยที่เหมาะสมกับธุรกิจโดยเฉพาะ สามารถติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง เพียงเพิ่มเพื่อนทาง LINE: @siamadvicefirm

Leave a Comment